โรคเกาต์ ดูแลอย่างไรดี
pixabay.com
โดย นศภ.ปณิดา ไทยอ่อน นักศึกษาฝึกปฏิบัติงานคลังข้อมูลยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
โรคเกาต์ (gout)
เกิดจากการสะสมผลึกเกลือโมโนโซเดียมยูเรต (monosodium urate)
ในน้ำไขข้อและเนื้อเยื่อต่างๆ สืบเนื่องจากการมีระดับกรดยูริกในเลือดสูง
(hyperuricemia) ที่มีค่ามากกว่า 6 และ 7 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
ในเพศหญิงและชายตามลำดับ
ทั้งนี้การตรวจวินิจฉัยว่าเป็นโรคเกาต์ทำได้โดยการตรวจพบผลึกเกลือโมโนโซเดียมยูเรต
จากน้ำไขข้อหรือก้อนที่เห็นเป็นตะปุ่มตะป่ำ เรียกว่าก้อนโทฟัส (tophus)
อย่างไรก็ตามระดับกรดยูริกในเลือดสูงอย่างเดียวนั้น
ยังไม่สามารถที่จะยืนยันว่าเป็นโรคเกาต์ได้ ต้องมีอาการปวดบวมที่ข้อ
หรือพบก้อนโทฟัส (tophus) ร่วมด้วย1,2 โรคเกาต์
ถือเป็นโรคข้ออักเสบที่พบบ่อยมีอุบัติการณ์การเกิด 4.3 คนต่อประชากรไทย
100,000 คน3 พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง
ดังนั้นสิ่งสำคัญที่จะให้ผู้ป่วยรับมือกับโรคเกาต์ได้
คือความเข้าใจในตัวโรคและการดูแลที่ถูกต้อง
โรคเกาต์ สามารถแบ่งได้ 3 ระยะ
คือเมื่อเกิดอาการปวดข้อขึ้นมาหรือกำเริบอีกครั้ง เราเรียกว่า
ระยะข้ออักเสบเฉียบพลัน (acute gouty arthritis)
โดยทั่วไปสามารถหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์4
แต่ละคนอาจมีสาเหตุกระตุ้นอาการปวดข้อที่ไม่เหมือนกัน เช่น
ปวดเมื่อมีอากาศหนาวเย็น5 การรับประทานอาหารที่มีพิวรีนสูง6
(เนื่องจากพิวรีนสามารถเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นกรดยูริกได้)
การดื่มแอลกอฮอล์7,8
หรือการใช้ยาบางชนิดที่ส่งผลให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูงขึ้น2
ในขณะที่ผู้ป่วยโรคเกาต์ไม่มีอาการปวดข้อจะเรียกว่า ระยะปลอดอาการ
(intercritical period) สุดท้ายหากปล่อยให้เกิดระดับกรดยูริกสูงบ่อยๆ
จะนำไปสู่โรคเกาต์ ระยะเรื้อรังที่มีก้อนโทฟัส (chronic tophaceous gout)
กลายเป็นข้ออักเสบเรื้อรังหลายๆ ข้อ
อาการอักเสบกำเริบรุนแรงมากบ้างน้อยบ้างสลับกันไป
และมีการทำลายของกระดูกข้อต่อเพิ่มมากขึ้น3
ยารักษาโรคเกาต์กำเริบเฉียบพลัน
ใช้เมื่อมีอาการปวด
เพื่อลดการอักเสบภายในข้อสามารถหยุดยาได้เมื่ออาการปวดข้อดีขึ้นแล้ว1,2
ยาที่ใช้เป็นส่วนใหญ่ ได้แก่
- ยาโคชิซิน (colchicine) ออกฤทธิ์โดยลดการอักเสบจากผลึกของกรดยูริก และลดการทำลายข้อกระดูกจากการทำงานของเม็ดเลือดขาว9
- ยาต้านอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-steroidal anti-inflammatory
drugs, NSAIDs) เช่น นาพรอกเซน (naproxen) อินโดเมทาซิน (indomethacin)
ออกฤทธิ์ต้านการอักเสบทำให้อาการปวดบวมข้อทุเลาลง9
- ยากลุ่มสเตียรอยด์ชนิดกิน (oral glucocorticoids) เช่น ยาเพรดนิโซโลน (prednisolone) ออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ9
- ยารักษาโรคเกาต์อีกประเภทหนึ่ง คือยาลดกรดยูริก
ใช้เมื่อมีข้ออักเสบกำเริบเป็นๆ หายๆ บ่อยกว่า 2 ครั้งต่อปี
มีข้ออักเสบเรื้อรัง หรือมีปุ่มโทฟัสเกิดขึ้น
ยาประเภทนี้มีจุดประสงค์เพื่อละลายผลึกเกลือโมโนโซเดียมยูเรตออกจากเนื้อเยื่อและป้องกันไม่ให้ตกผลึกเพิ่มขึ้น
ดังนั้นผู้ป่วยจะต้องรับประทานไปตลอดชีวิต1 มีด้วยกัน 2 กลุ่ม ได้แก่
- กลุ่มยายับยั้งการสร้างกรดยูริก (uricostatic agents) 1,2
มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ xanthine oxidaseได้แก่ อัลโลพิวรีนอล (allopurinol)
เฟบบูโซสตัท (febuxostat)
- กลุ่มยาเร่งการขับกรดยูริกทางไต (uricosuric agents) 1,2
ออกฤทธิ์โดยยับยั้งการดูดกลับของกรดยูริกผ่านหลอดไตฝอย
ทำให้กรดยูริกในเลือดลดลง ได้แก่ โพรเบเนซิด (probenecid)
ซัลฟินไพราโซน(sulfinpyrazone) เบนซ์โบรมาโรน (benzbromarone)
นอกจากการใช้ยาอย่างถูกต้องแล้ว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมร่วมด้วยจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาโรคเกาต์ให้ดียิ่งขึ้น เช่น
ลดการรับประทานอาหารที่มีพิวรีนสูง10 ซึ่งอาหารดังกล่าว ได้แก่
- สัตว์ปีก เช่น เป็ด ห่าน ไก่
- เครื่องในสัตว์ เช่น เซ่งจี้ ตับหมู มันสมองวัว ตับอ่อน ไต
- ปลาและสัตว์น้ำบางชนิด เช่น ปลาไส้ตัน ปลาอินทรีย์ ปลาซาร์ดีน ปลาดุก ไข่่ปลา กะปิ กุ้งชีแฮ หอย
- ผักและธัญพืชบางชนิด เช่น ชะอม กระถิน ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ
- เห็ด ยีสต์
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์โดยเฉพาะเบียร์
พบว่าผู้ป่วยโรคเกาต์ที่ดื่มเบียร์มีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการปวดเกาต์มากขึ้นประมาณ
2.5 เท่า
เนื่องจากในเบียร์มีพิวรีนปริมาณมากสามารถเปลี่ยนเป็นกรดยูริกได้8
นอกจากนี้ผู้ป่วยโรคเกาต์ที่มีโรคประจำตัวอื่นๆ
ร่วมด้วย และยาที่ใช้บางตัวอาจส่งผลให้ระดับกรดยูริกสูงขึ้นได้ เช่น
ยาขับปัสสาวะกลุ่ม thiazide ยาไซโคลสปอริน (cyclosporine)
ยาแอสไพรินขนาดต่ำ (ต่ำกว่า 1 กรัมต่อวัน)
จึงควรมีการติดตามระดับกรดยูริกในเลือดสม่ำเสมอ
โดยสรุปแล้วการดูแลโรคเกาต์นั้นไม่ยากหากผู้ป่วยมีความเข้าใจในตัวโรค
และการใช้ยาอย่างถูกต้องร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมควบคู่กันไป
จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการปวดข้อ ลดการรุดหน้าของโรคไม่ให้รุนแรง
และทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้นอีกด้วย