สตูล เพชรเม็ดงามแห่งทะเลอันดามัน

อ่าน 10,220


"สตูล"ถือเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวไม่เคยเสื่อมคลาย ซึ่งถึงแม้จะอยู่ห่างจากกรุงเทพมหานครถึง 973 กิโลเมตร แต่ระยะทางก็ไม่ใช่ปัญหาในการเดินทางไปสัมผัสเมืองเล็ก ๆ มากเสน่ห์แห่งนี้ และเมื่อพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวภายในจังหวัดสตูลที่มีชื่อเสียง ก็คงไม่พ้นสถานที่ท่องเที่ยวทางทะเลที่งดงาม โดยเฉพาะเกาะตะรุเตา,เกาะหลีเป๊ะหรือหมู่เกาะอาดัง-ราวีที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปไกลถึงต่างประเทศเลยทีเดียววันนี้เราเลยจะพาเพื่อน ๆ ไปทำความรู้จักกับจังหวัดสตูลให้มากยิ่งขึ้น กับ10 ที่เที่ยวสตูลที่เราหยิบมาแนะนำกันค่ะ

1.ถ้ำภูผาเพชร

มาเริ่มต้นกับสถานที่แรกนั่นก็คือ "ถ้ำภูผาเพชร" ถ้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และใหญ่ติดอันดับ 4 ของโลก ตั้งอยู่ในตำบลปาล์มพัฒนา อำเภอมะนัง จังหวัดสตูล เมื่อเดินทางเข้าไปภายในถ้ำจะพบห้องโถงขนาดกว้าง เพดานถ้ำสูง ๆ ที่เต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยที่ยังคงมีหยดน้ำเกาะตัวอยู่ และเมื่อกระทบกับแสงไฟก็จะส่องเป็นประกายอย่างสวยงาม พร้อมทั้งมีการแบ่งชื่อแต่ละห้องตามลักษณะของธรณีสัณฐานที่พบออกเป็น 20 ห้อง เช่น"ห้องม่านเพชร"มีลักษณะคล้ายผ้าม่านแขวนอยู่, ห้องพญานาค มีหินงอกคล้ายงูใหญ่หรือพญานาค, ห้องปะการัง มีหินงอกหินย้อยคล้ายปะการังในทะเล

และถ้าสังเกตจากประเภทของหินงอก (Stalagmite) ก็จะมีชื่อต่าง ๆ ตามรูปทรงที่พบเห็นมากถึง 31 แห่ง ส่วนประเภทหินย้อย (Stalactite) ก็มีทั้งหมด 4 แห่ง และสุดท้ายคือประเภทเสาหิน (Column in Cavern) ซึ่งเป็นส่วนของหินงอกและหินย้อยที่มาบรรจบกันแล้วมองดูคล้ายเสาค้ำยันเพดานถ้ำกว่า 14 แห่ง นอกจากนี้ยังมีประเภทเสาหินที่มีลักษณะต่าง ๆ กัน เช่น เสาเพชร หรือเสาหินย้อย หรือเสาค้ำสุริยัน รวมทั้งยังมีบ่อขั้นบันได ที่มีลักษณะเหมือนชายน้ำตกหินปูนที่เป็นชั้น ๆ เหมือนขั้นบันไดอีกด้วย

ทั้งนี้สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจเดินทางไปเยือนที่"ถ้ำภูผาเพชร"ควรเตรียมตัวก่อนเดินทางให้พร้อม ทั้งไฟฉายติดตัวไปเพื่อส่องดูความงามภายในถ้ำ สวมใส่รองเท้าที่เดินสบาย พร้อมสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว โทรศัพท์ 0 7472 0314-11

2. วัดชนาธิปเฉลิม

"วัดชนาธิปเฉลิม"หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า"วัดมำบัง"เป็นวัดแห่งแรกของเมืองสตูล ที่ตั้งอยู่บริเวณริมคลองมำบัง ถนนศุลกานุกูล ตำบลพิมาน อำเภอเมืองสตูล อีกทั้งยังเป็นศูนย์รวมชาวพุทธในจังหวัดสตูลที่มีอายุมากกว่า 100 ปีมาแล้ว สำหรับการเดินทางมาท่องเที่ยวภายในจะพบกับพระอุโบสถที่มีลักษณะแปลกไปกว่าทั่วไป คือ มีลักษณะเป็นทรง 2 ชั้น ชั้นล่างก่ออิฐถือปูนคู่กับชั้นบนซึ่งเป็นอาคารไม้ ใช้สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของพระสงฆ์ ส่วนชั้นล่างใช้เป็นศาลาการเปรียญ ด้านหน้าพระอุโบสถเป็นระเบียง มีบันไดทั้ง 2 ด้าน นอกจากนี้ยังเป็นวัดที่หน่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมศิลปกรรมท้องถิ่นจังหวัดสตูลร่วมกับศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดสตูล โรงเรียนสตูลวิทยา ประกาศเป็นเขตอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอีกด้วย ทั้งนี้สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก วัดชนาธิปเฉลิม โทรศัพท์ 0 7471 1996 หรือเฟซบุ๊กโรงเรียนเทศบาล2-วัดชนาธิปเฉลิม สตูล

3. มัสยิดกลางจังหวัดสตูล หรือมัสยิดมำบัง

"มัสยิดมำบัง"ชื่อที่หลายคนรู้จักในชื่อเดิมคือ"มัสยิดเตองะห์"หรือ"มัสยิดอากีบี"ตั้งอยู่ในย่านตลาด เขตเทศบาลเมืองสตูล อำเภอเมือง ภายในออกแบบและตกแต่งในสถาปัตยกรรมแบบโดมเดียว คล้ายบัวตูม หรือ"เรือ"ในหมากรุกไทย บนยอดโดมมีสัญลักษณ์ดาวและพระจันทร์เสี้ยว แสดงถึงสัญลักษณ์การเผยแพร่ศาสนาอิสลาม สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก 3 ชั้น ชั้นใต้ดิน 1 ชั้น ใช้เป็นห้องประชุม และห้องสมุด, ชั้นกลางใช้ละหมาด พื้นหินขัด ผนังก่ออิฐถือโปกปูน สลับอิฐโปร่งสีน้ำตาล เพื่อระบายอากาศ ตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบ หลังคาเทคอนกรีตปูด้วยกระเบื้องดินเผา โดมเป็นเฟือง 8 เฟือง ประดับกระจกสีทองจากอิตาลี

4. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสตูล คฤหาสน์กูเด็น

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสตูล หรือคฤหาสน์กูเด็น ตั้งอยู่บริเวณถนนสตูลธานีซอย 5 ตรงข้ามกับสำนักงานที่ดินจังหวัดสตูล สร้างเมื่อ พ.ศ. 2441 โดย พระยาภูมินารถภักดี หรือตวนกูบาฮารุดดินบินตำมะหงง (ชื่อเดิม กูเด็น บินกูแม๊ะ) เจ้าเมืองสตูลในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2459

สำหรับคฤหาสน์หลังนี้เดิมสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คราวเสด็จเดินทางไปเมืองปักษ์ใต้แต่ไม่ได้ประทับแรม และเคยใช้เป็นบ้านพักและศาลาว่าการเมืองสตูล จนในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อาคารหลังนี้ถูกใช้เป็นกองบัญชาการทหารญี่ปุ่น ต่อมาปี พ.ศ. 2540-2543 กรมศิลปากรได้ปรับปรุงคฤหาสน์กูเด็นขึ้นใหม่ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น ในรูปแบบแบบตะวันตกผสมผสานแบบไทยอย่าง ประตูหน้าต่างรูปโค้งตามแบบสถาปัตยกรรมยุโรป หลังคาทรงปั้นหยาแบบไทยใช้กระเบื้องดินเผารูปกาบกล้วย บานหน้าต่างเป็นแผ่นไม้ชิ้นเล็ก ๆ เป็นเกล็ดแนวนอน ช่องลมด้านบนตกแต่งรูปดาวตามลักษณะสถาปัตยกรรมแบบอิสลาม

ส่วนภายในอาคารก็มีการจัดนิทรรศการแสดงประวัติศาสตร์เมืองสตูล วิถีชีวิตของชาวสตูลในด้านต่าง ๆ เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมประเพณีและวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่น ทั้งนี้สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถเข้าชมพิพิธภัณฑ์ได้ในวันพุธ-อาทิตย์ (ปิดทุกวันจันทร์, วันอังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์) เวลา 09.00-16.00 น. พร้อมทั้งสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊ก คฤหาสน์กูเด็น

5. แหลมตันหยงโปและหาดทรายยาว

แหลมตันหยงโปและหาดทรายยาว ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่สวยงามของจังหวัดสตูลอีกหนึ่งแห่งที่ตั้งอยู่ทางปากอ่าวสตูล มีลักษณะเป็นแหลมที่ยื่นล้ำไปในทะเลอันดามัน มีหาดทรายขาวสะอาดสวยงาม และเป็นที่อยู่อาศัยของหมู่บ้านชาวประมง โดยจะพบเห็นสภาพชีวิตความเป็นอยู่ บ้านเรือนชาวบ้านโดยทั่วไปของชาวประมง อาทิ การตากของทะเลริมหาด ถัดจากแหลมตันหยงโปไปไม่ไกลมากจะเป็นที่ตั้งของ"หาดทรายยาว"ชายหาดสวย ๆ ที่แตกต่างจากหาดทรายที่อื่นทั่วไป เพราะที่นี่แวดล้อมไปด้วยทรายสีขาวเป็นแนวยาวเรียงคู่ขนานไปกับต้นหูกวางที่ขึ้นอยู่ริมหาด อีกทั้งบริเวณหาดยังเต็มไปด้วยเปลือกหอย ให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายภาพสวย ๆ อีกด้วย

6.ถ้ำเจ็ดคต

ถ้ำเจ็ดคต หรือ"ถ้ำสัตคูหา"ตั้งอยู่ภายในหมู่ที่ 10 ตำบลน้ำผุด อำเภอละงู เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถเดินทางไปได้ตลอดปี ภายในถ้ำเจ็ดคตมีความกว้าง 70?80 เมตร ยาวประมาณ 600 เมตร แบ่งเป็น 7 ช่วง (คูหา) ซึ่งมีบรรยากาศแตกต่างกัน และมีลำคลองไหลไปตามความคดเคี้ยวของตัวถ้ำ ทำให้ระดับน้ำภายในถ้ำมีความตื้นลึกไม่เท่ากัน โดยในช่วงหน้าแล้งน้ำลึกแค่ท่วมข้อเท้าเดินลุยไปได้อย่างสบาย บางตอนอาจลึกเกิน 5 เมตร แต่ในช่วงหน้าฝน มีน้ำหลากจะเดินทางเข้าไปได้ค่อนข้างยาก นักท่องเที่ยวต้องเดินลัดเลาะไปตามริมผนังถ้ำ ดินลุยน้ำ บางตอนเป็นหาดทรายผสมกรวดบ้าง บางคูหามีพื้นที่เป็นโคลนเลนต้องระมัดระวังในการเดินเป็นพิเศษควรมีไฟฉายติดตัวไปด้วย

สำหรับถ้ำเจ็ดคตมีลักษณะพิเศษแตกต่างจากถ้ำอื่น ๆ คือมีลำคลองลอดถ้ำคดเคี้ยวไปตามลักษณะธรรมชาติของตัวถ้ำมีถึง 7 คูหา เป็นที่มาของชื่อถ้ำแห่งนี้ มีผู้ตั้งชื่อใหม่ว่า"ถ้ำสัตคูหา"พร้อมตั้งชื่อของแต่ละคูหา ดังนี้

คูหาที่ 1 เรียกว่า"สาวยิ้ม"ผนังถ้ำมีสีเขียวมรกตมีหินงอกหินย้อยอยู่หน้าถ้ำ

คูหาที่ 2 เรียกว่า"นางคอย"มีหินงอก หินย้อย สวยงาม และฝูงค้างคาวจำนวนมาก

คูหาที่ 3 เรียกว่า"เพชรร่วง"ส่วนบนของผนังถ้ำมีช่องให้แสงอาทิตย์ส่องลอดลงมาได้ เมื่อแสงอาทิตย์กระทบกับผนังถ้ำจึงเกิดประกายแวววาวเหมือนเพชร

คูหาที่ 4 เรียกว่า"เจดีย์สามยอด"พื้นทางเดินเป็นหิน ลักษณะคล้ายดอกกุหลาบ

คูหาที่ 5 เรียกว่า"น้ำทิพย์"ตามผนังถ้ำเป็นหินย้อยสีขาวและน้ำตาล เป็นหลืบซ้อนกันมองดูคล้ายผ้าม่าน

คูหาที่ 6 เรียกว่า"ฉัตรทอง"มีหินงอก หินย้อย ซ้อนเหลื่อมกันเป็นชั้นเสมือนฉัตร

คูหาที่ 7 เรียกว่า" ส่องนภา"ภายในมีหินงอก หินย้อย รูปทรงคล้ายดอกบัวคว่ำ

ทั้งนี้สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 0 7521 5867,0 7521 1058

7. น้ำตกโตนปลิว

นอกจากทะเลสวย ๆ แล้วจังหวัดสตูลก็มีน้ำตกให้ท่องเที่ยวเช่นกัน นั่นก็คือ"น้ำตกโตนปลิว"ตั้งอยู่ในหมู่ที่ 1 ตำบลวังประจัน อำเภอควนโดน บริเวณรอยต่อระหว่างป่าสงวนแห่งชาติหัวกาหมิง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนงาช้าง โดยมีบริเวณป่าต้นน้ำอยู่ที่ภูเขาหัวกาหมิง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทิวเขานครศรีธรรมราช ลักษณะทั่วไปของ"น้ำตกโตนปลิว"ประกอบด้วยชั้นน้ำตก 5 ชั้น โดยชั้นหลักชื่อ"โตนลำพร้าว"มีหน้าผาน้ำตกสูงประมาณ 40 เมตร กลายเป็นแอ่งน้ำขัง ชื่อ"วังบ่อ"กับ"วังเตย"เป็นต้น ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่สามารถลงเล่นน้ำได้อย่างสบาย ส่วนชั้นอื่น ๆ จะมีผาน้ำตกไม่ค่อยสูงนัก ทั้งนี้นักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊ก เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนงาช้าง

8. เกาะไข่

"เกาะไข่"เอกลักษณ์ทางธรรมชาติที่สวยงามจนกลายเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดสตูล นั่นก็คือ"ซุ้มประตูหิน"ขนาดสูงใหญ่สามารถเดินลอดได้ โดยมีความเชื่อว่าหนุ่มสาวที่ได้ลอดผ่านซุ้มประตูหินนี้จะได้แต่งงานกัน ในช่วงเทศกาลวันวาเลน์ไทน์ของทุกปี จังหวัดสตูลก็จะได้จัดให้มีการจดทะเบียนสมรสให้กับคู่บ่าวสาว ณ บริเวณซุ้มเกาะไข่อีกด้วย

สำหรับที่ตั้งของเกาะไข่แห่งนี้ตั้งอยู่ระหว่างเกาะอาดังกับเกาะราวี ถือเป็นอีกหนึ่งเกาะที่มีชายหาดที่สวยงาม สะอาดเหมือนสีของเปลือกไข่ น้ำทะเลใส อีกทั้งยังเป็นเกาะที่มีความสำคัญทางระบบนิเวศ เพราะบริเวณชายหาดของเกาะมักจะมีเต่าทะเลชอบขึ้นมาวางไข่เสมอ และบริเวณรอบเกาะยังมีความอุดมสมบูรณ์ซึ่งเป็นแหล่งอาหารของปลาอีกด้วย โดยทางอุทยาน ไม่อนุญาตให้พักแรมบนเกาะ

9. เกาะลิดี

เกาะลิดี ประกอบด้วยเกาะสำคัญ 2 เกาะ คือ เกาะลิดีใหญ่และเกาะลิดีน้อย และมีเกาะเล็ก ๆ เสมือนบริวารตั้งอยู่ใกล้เคียงอีก 3?4 เกาะ ตั้งอยู่ภายในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา หมู่ที่ 4 ตำบลปากน้ำ อยู่ไม่ไกลจากอ่าวนุ่น ห่างจากฝั่งหมู่บ้านหัวหินประมาณ 1 กิโลเมตร สำหรับคำว่า"ลิดี"เป็นภาษามลายูแปลว่า"ไม้เรียว"อย่างไรก็ตามเสน่ห์ของเกาะลิดีที่หลายคนอยากไปสัมผัสคือความอุดมสมบูรณ์ของธรรมขาติ ทั้งหาดทราย, ป่าไม้บนภูเขา และป่าชายเลน มีหน้าผาและถ้ำเป็นที่อาศัยของนกนางแอ่น หาดทรายขาว และมีเวิ้งอ่าวยื่นเข้าไปในเกาะ เหมาะสำหรับเล่นน้ำทะเล รวมทั้งโขดหินที่มีรูปร่างประหลาดตามริมหาด และเมื่อน้ำลดสามารถเดินเที่ยวลัดเลาะไปตามชายหาดและเขาหินเล็ก ๆ ได้

ส่วนการเดินทางไปเที่ยวที่เกาะลิดีใช้วิธีการไป-กลับก็ได้ หรือถ้าจะค้างคืนทางอุทยาน ก็มีบ้านพักสำหรับนักท่องเที่ยว และมีสถานที่สำหรับกางเต็นท์พักแรมไว้บริการเช่นกัน ทั้งนี้สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางไปจะต้องติดต่อกับทางอุทยาน อีกทีหนึ่ง

10.เกาะหินงาม

สุดท้ายกับ"เกาะหินงาม"แหล่งท่องเที่ยวขนาดเล็กทางทิศใต้ของเกาะอาดัง ที่มีความโดดเด่นบริเวณชายหาดที่เต็มไปด้วยหินสีดำกลมเกลี้ยง ซึ่งมีลวดลายสวยงาม ขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกันไป เมื่อโดนคลื่นซัดก้อนหินจะมีความมันวาว ส่วนบริเวณกลางเกาะจะมีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้สีเขียว อีกทั้งยังมีความเชื่อเล่ากันว่าหินทุกก้อนมีคำสาปของเจ้าพ่อตะรุเตา หากใครนำติดตัวไปจะเกิดหายนะ O__O

เรียกได้ว่าครบเครื่องจริง ๆ สำหรับที่เที่ยวจังหวัดสตูล มีทั้งสถานที่ท่องเที่ยวทะเล ถ้ำ หรือแม้แต่วัฒนธรรมที่งดงาม ว่าแล้วก็อย่ารอช้าเก็บข้าวของแล้วแบกเป้ออกเดินทางไปเที่ยวสตูล อีกหนึ่งจังหวัดท่องเที่ยวของไทยที่ไม่ควรพลาดกันดีกว่าค่ะ



บทความแนะนำ


ข่าวกีฬาฟุตบอลโปรโมชั่นชาบูชิบอลไทยYouTubeยอดวิวสแปมทรงผมทรงผมสั้นทรงผมประบ่าทรงผมถักเปียดูดวงดวงความรัก