ความจริง 9 ข้อ ชีวิตแต่งงานไม่ได้สวยงามกว่าตอนเป็นแฟนกัน!

อ่าน 14,011

งานแต่งงานเป็นความใฝ่ฝันที่สูงสุดอย่างหนึ่งของชีวิตหนุ่มสาวหลายคน (ไม่ใช่เฉพาะผู้หญิงแต่เพียงฝ่ายเดียว) เพราะจากหนัง ละคร รายการทีวีที่มีเซอร์ไพรส์ต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งจากการเป็นแขกรับเชิญงานแต่งงานของคนใกล้ชิดเสียเอง เราก็มักจะคิดว่ามันช่างเป็นความรักที่โรแมนติคมาก ๆ หวานแหวว สีชมพูไปเสียหมด ยิ่งมีบ้าน มีรถ มีลูก ชีวิตยิ่งสมบูรณ์พูนสุขจนดูน่าอิจฉาไปอีกหลายเท่า

ใช่ว่าทุกคู่จะจูงมือกันถึงด่านนี้เสมอไป และก็ใช่ว่าภาพสวยงามที่เราเห็นจะยั่งยืน หรือไม่มีเบื้องหลังสาหัสเลย ไม่อย่างนั้นโลกนี้ก็คงไม่มีปัญหา ?เรื่องผัวเมียละเหี่ยใจ? มาให้อ่าน-ฟังอยู่เรื่อย ๆ

และนี่คือความจริงที่จะบอกว่าเหตุใดชีวิตแต่งงานจึงไม่ได้สวยงามกว่าตอนเป็นแฟนกันเสมอไป ทั้ง ๆ ที่ก็คบกันกับคนเดิม เพิ่มเติมมาอีกนิดก็คือการเปลี่ยนสถานภาพ (และอาจมีพยานรักตามมาด้วย)

1. คบกันแบบแฟนกันก็เหมือนความรักวัยรุ่น รักไปเรื่อย ๆ เมื่อยก็พัก แต่คบกันถึงขั้นแต่งงานได้คือ ?จริงจังมาก? มากถึงกับผู้ใหญ่และคนรอบตัวของทั้งสองฝ่ายต้องรับรู้ด้วย

2. จากข้อ 1 เมื่อจะทำอะไรบางครั้งก็ต้องนึกถึงคนอื่นด้วย โดยเฉพาะเรื่องแต่งงาน จากแต่ก่อนบางคู่อาจคิดว่าจะจัดแค่งานเล็ก ๆ หรือไม่แต่งเลย แต่เมื่อชีวิตคู่อยู่ในสายตาผู้ใหญ่และคนรอบข้างคนอื่น จะให้จำกัดจำเขี่ยให้เป็นไปตามที่ใจเราสองคนคิดเพียงอย่างเดียวก็ดูจะกระด้างไป เอ้า! จัดก็จัด งบบานปลายกว่าที่คาดคะเนไว้หน่อยก็กัดฟันสู้ไปด้วยกัน

3. ชีวิตรักวัยรุ่นอาจจะมองแบบโลกสวยว่าเรื่องเงินไม่สำคัญ แค่ใจตรงกันก็พอ แต่ในโลกของความจริงเรื่องเงินเป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับชีวิตแต่งงาน จะกินใช้แบบตามใจกันหรือคอยขอพ่อแม่เวลาเงินขาดมืออย่างแต่ก่อนไม่ได้แล้ว เพราะไหนจะค่าจัดงานแต่งงาน ก็ยังมีค่าใช้จ่ายรายเดือนเพื่อความเป็นอยู่ของกันและกัน เช่น ค่าน้ำ, ค่าไฟ, ค่าบ้าน, ค่ารถ, ค่าโทรศัพท์ ที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน เท่านั้นยัง ... ยังไม่พอออ !! ยังต้องวางแผนไปถึงค่าใช้จ่ายในอนาคตด้วย เช่น ค่าเบี้ยประกัน, การลงทุนต่อยอดธุรกิจ รวมไปถึงค่าใช้จ่ายของลูกในระยะยาวในกรณีที่ต้องการจะมีลูกด้วยกัน (ค่าฝากครรภ์, ค่าทำคลอด, เทอม, ค่าใช้จ่ายยามเจ็บป่วย) อะไรที่จะเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว มักจะถูกจัดอันดับให้อยู่ท้าย ๆ ไปเลย

4. ทะเลาะกันเมื่อใด ต้องปรับความเข้าใจกันให้เร็วที่สุด จะหายไปนาน ๆ หรืองอนกันนาน ๆ อย่างแต่ก่อนไม่ได้แล้ว เพราะชีวิตครอบครัว คือชีวิตที่จริงจังมากขึ้น นับวันยิ่งต้องมีภาระให้รับผิดชอบอยู่เรื่อย จะปล่อยให้ความเครียดบั่นทอนกำลังใจกันบ่อยไม่ได้

5. เรื่องใดที่หนักหนาสาหัสมาก ไม่จำเป็นต้องปกปิดไว้คนเดียว ไหน ๆ ก็มีกันตั้ง 2 ครอบครัวที่เกี่ยวข้องกันอยู่ หันไปปรึกษาพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่ให้เขารับรู้บ้าง คิดว่าเดี๋ยวงอนแล้วก็หายอย่างรักแบบวัยรุ่นไม่ได้แล้ว

6. เมื่ออยู่ใกล้กันมากขึ้นกว่าตอนเป็นแฟนกัน ต้องปรับตัวเข้าหากันในแบบวินาทีต่อวินาที เช่น ถ้ามีเวลาเจอกันน้อยลงเพราะมีเวลาทำงานที่สวนทางกัน จะมาน้อยใจกันว่าทำไมไม่มีเวลาให้กันบ้างอย่างแต่ก่อนไม่ได้ ต้องเข้มแข็งมากกว่าเก่า หยวนกันมากกว่าแต่เก่าบ้าง

7. ใช่ว่าจะต้องดูแลกันแค่เราสองคนตลอดไป ชีวิตอื่นอย่างเช่นคนในครอบครัวของอีกฝ่ายก็ต้องช่วยกันดูแล ใครเจ็บป่วยเดือดร้อนก็ต้องมีน้ำใจไปเยี่ยมหากันบ้าง เมื่อมีลูกก็ต้องแบ่งความรักไปให้ลูกอีก ดูเหมือนเหนื่อย แต่ก็ต้องเข้าใจกันให้มาก และไม่หาเรื่องให้รู้สึกว่าห่างเหินกันหรือรักกันน้อยลง

8. เมื่อจะเลิกกันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแบบเลิกปุ๊บ จบปั๊บ ยิ่งแต่งงานโดยจดทะเบียนกัน ยิ่งต้องทำให้ทุกอย่างชัดเจนขึ้น ตั้งแต่การหย่า การแบ่งสินสมรสกัน ตลอดจนการตกลงสงเคราะห์บุตรในกรณีที่มีบุตรด้วยกันแล้ว

9. ด้วยภาระที่มากขึ้นกว่าตอนเป็นแฟนกัน ก็เป็นธรรมดาที่จะปล่อยเนื้อปล่อยตัวบ้าง พักผ่อนน้อยลงบ้าง ในจุดนี้อารมณ์ขัน อารมณ์ศิลปิน และ sex จึงยังมีส่วนสำคัญต่อคู่สมรสอยู่ อย่างน้อยมันก็จะช่วยรั้งกันไว้ไม่ให้เบื่อกันง่าย หรือชวนทะเลาะกันบ่อยท่ามกลางภาระรับผิดชอบหลายอย่างที่ยังไม่ค่อยจะลงตัวสักเท่าไหร่ ใครที่บอกว่ายิ่งเป็นผู้ใหญ่ยิ่งปล่อยวางจนแทบไม่คิดเรื่องนี้เลย เป็นไปได้น้อยมาก (อย่างที่เรารู้กัน sexคือสาเหตุหนึ่งของการหย่าร้างนั่นแหละ)

ขึ้นชื่อว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ?ชีวิต? ไม่ว่าจะอายุไหน ช่วงวัยใด สถานภาพใด ล้วนแต่เป็นเรื่องสำคัญทั้งนั้น ยิ่งขึ้นชื่อว่าเป็น ?ชีวิตคู่? ยิ่งต้องประคับประคองกันให้ดีอยู่เสมอ ความสวยงามที่เขาว่ากันว่าจะต้องหยอดคำหวานกัน มีงานแต่งที่หรูหรา อย่างไรก็ไม่สู้การดูแลและรับผิดชอบกันตลอดเวลา ทั้งชีวิตของตัวเองและชีวิตของอีกฝ่าย เท่านี้เป็นอันพอแล้ว : )

บทความดีดีจาก:http://www.jeeb.me/557?share