ไปหามาทานด่วน!! 11 ผลไม้เพื่อสุขภาพจากโครงการหลวง ร.9 ที่ว่ากันว่า?มีประโยชน์สุดล้น !!
ปัจจุบันนี้ความนิยมในการบริโภคผักผลไม้และผลิตภัณฑ์เกษตรเพื่อสุขภาพ
เพิ่มสูงขึ้น
และด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9
ได้ทรงโปรดเกล้าฯ
พระราชทานพระราชดำริในการจัดตั้งโครงการหลวงเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็น
อยู่ของชาวเขา และดำเนินงานเพื่อการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับพืชชนิดต่างๆ
ทั้งไม้ยืนต้น พืชไร่ ผัก สมุนไพร ไม้ดอก
รวมทั้งไม้ผลที่สามารถเพาะปลูกบริเวณภาคเหนือตอนบนของไทยส่งผลให้ผลผลิตจากโครงการหลวงเป็นที่แพร่หลาย
นอกจากเป็นแหล่งอาหารและทำรายได้ให้กับชาวเขาชุมชนต่างๆ ทางภาคเหนือแล้ว
ผลไม้โครงการหลวงยังได้รับความนิยมมากขึ้นไปทั่วประเทศตลอดจนปัจจุบัน
บทความนี้จึงขอนำเสนอความรู้เกี่ยวกับผลไม้ในโครงการหลวงหลากหลายชนิด
รวมทั้งคุณค่าทางอาหารและงานวิจัยเกี่ยวกับสุขภาพที่น่าสนใจดังต่อไปนี้1. พีช (Peach: Prunus persica (L.) Batsch) หรือ ท้อ
ไม้ผลเขตหนาวที่มีถิ่นกำเนิดในจีน
และสามารถพบพันธุ์พื้นเมืองเจริญได้ดีบริเวณภาคเหนือตอนบนของไทย
ให้ผลผลิตออกมาจำหน่ายทำรายได้ให้แก่ชาวเขาแถบนั้น
นับเป็นจุดเริ่มต้นของการวิจัยเกี่ยวกับพันธุ์พืชเขตหนาวเพื่อทดแทนการปลูก
ฝิ่น โดยมีการคัดเลือกและพัฒนาสายพันธุ์พีชจากต่างประเทศ รวมทั้งเนคทารีน
(Nectarine: P. persica (L.) Batsch var. nucipersica)
ซึ่งมีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนพีชทุกประการ
เพียงแต่เนคทารีนจะไม่มีขนที่ผิวผล ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ รสชาติดี
สามารถรับประทานสดหรือนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ
โดยทั้งพีชและเนคทารีนอุดมไปด้วยสารกลุ่มโพลีฟีนอล (polyphenols)
ที่มีฤทธิ์เด่นในการต้านอนุมูลอิสระ
และมีการศึกษาในเซลล์และสัตว์ทดลองพบว่าสารสกัดจากพีชยังมีฤทธิ์ยับยั้งแอ
งจิโอเทนซิน (angiotensin II)
ซึ่งเป็นกลไกที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
(cardiovascular disease)
และยับยั้งการทำงานของเอนไซม์อะซีทิลโคลีนเอสเทอเรส (acetylcholinesterase)
ซึ่งเป็นกลไกที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันโรคเกี่ยวกับระบบประสาท5
เป็นที่น่าสนใจศึกษาทางคลินิกต่อไปเกี่ยวกับประโยชน์ต่อสุขภาพของพีชและ
เนคทารีน2. พลัม แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ พลัมยุโรป (European plum: P.
domestica L.) ถ้านำไปทำให้แห้งจะเรียกว่าพรุน (Prune: dried plum)
และพลัมญี่ปุ่น (Japanese plum: P. salicina Lindl.)
ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ปลูกในไทย2 บางท่านอาจเรียก ลูกไหน ผลสีแดงอมม่วง
ประกอบไปด้วยสารกลุ่มแอนโทไซยานิน (anthocyanins)
มีฤทธิ์ลดปริมาณสารพิษมาลอนไดอัลดีไฮด์ (malondialdehyde)
และช่วยเพิ่มการทำงานของเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระต่างๆ6
น้ำคั้นผลพลัมเข้มข้นที่ประกอบด้วยสารแอนโทไซยานินในปริมาณสูงมีฤทธิ์ต้าน
การเกิดลิ่มเลือด โดยยับยั้งกลไกการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด
อาจมีผลในการป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ
เช่นเดียวกับที่มีการศึกษาวิจัยในพลัมยุโรป
สำหรับพรุนและน้ำพรุนมีประโยชน์ช่วยในเรื่องของการขับถ่าย
และมีฤทธิ์ป้องกันภาวะกระดูกพรุนโดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน3. บ๊วย (Japanese apricot: P. mume Siebold & Zucc.)
เป็นผลไม้ตระกูลเดียวกับพีชและพลัม ที่ชาวจีนเรียก เหมย (Mei)
มีสรรพคุณแผนโบราณตามการแพทย์แผนจีน ใช้ผลบ๊วยในการรักษาอาการไอและลดไข้
และมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาพบว่าสารสกัดบ๊วย MK615
ซึ่งประกอบด้วยสารกลุ่มไตรเตอร์ปีนอยด์ (triterpenoids) เช่น กรดโอลีนโนลิก
(oleanolic acid) และกรดเออร์โซลิก (ursolic acid)
มีฤทธิ์ป้องกันการทำงานของตับโดยกลไกการต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ
มีผลในการลดระดับเอนไซม์การทำงานของตับ aspartate aminotransferase (AST)
และ alanine aminotransferase (ALT)
ในผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซีและผู้ป่วยภาวะไขมันพอกตับที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์
(non-alcoholic fatty liver disease) มีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็ง
ยับยั้งเชื้อ Helicobacter pylori
แบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
และยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคในช่องปาก เป็นต้น4. พลับ (Persimmon: Diospyros kaki L.f.) มี 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ
พลับหวาน (non-astringent) และพลับฝาด (astringent)
ที่ต้องนำไปขจัดความฝาดก่อนรับประทาน รสชาติหวานหอม นิยมรับประทานผลสด
และนำไปแปรรูปเป็นพลับหมาดหรือพลับแห้ง พลับทั้งผลไม่ปอกเปลือกมีใยอาหารสูง
อุดมไปด้วยสารสำคัญต่างๆ มีส่วนช่วยในการบำรุงสายตาและผิวพรรณ15
นอกจากนี้ยังมีการศึกษาทางคลินิกพบว่าผลพลับอ่อนมีสารแทนนิน (tannin) สูง
มีผลช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือด มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์อัลฟ่า-อะไมเลส
(?-amylase) และชะลอการดูดซึมคาร์โบไฮเดรตในหนูทดลอง
มีผลในการช่วยลดระดับน้ำตาล
ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ในการศึกษาต่อไปเกี่ยวกับการรับประทานผลพลับเพื่อการ
ป้องกันรักษาภาวะน้ำตาลในเลือดสูง5. สตรอว์เบอร์รี (Strawberry: Fragaria X ananassa Duch.)
ผลไม้ยอดนิยมของหลายๆ ท่าน
ปัจจุบันสามารถเพาะปลูกได้ดีและแพร่กระจายมากขึ้นในหลายพื้นที่ของไทย
มีการคัดเลือกสายพันธุ์ใหม่ๆ เพื่อใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอาหาร
นำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ หรือบริโภคผลสด เช่น พันธุ์พระราชทาน 80
และพันธุ์พระราชทาน 88 ที่กำลังได้รับความนิยมในการบริโภคสูงมาก
สตรอว์เบอร์รีมีรูปร่างและสีสันดึงดูดใจ รสชาติเปรี้ยวจนถึงหวาน
กลิ่นหอมถูกใจผู้บริโภค จัดเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง
รวมทั้งอุดมไปด้วยกรดแกลลิก (gallic acid) และกรดเอลลาจิก (ellagic acid)
ซึ่งพบได้มากในพืชตระกูลเบอร์รี
มีประโยชน์ต่อร่างกายช่วยป้องกันและลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดและ
หัวใจได้6. เคพกูสเบอร์รี (Cape gooseberry: Physalis peruviana L.) หรือ
โทงเทงฝรั่ง เพราะมีลักษณะคล้ายกับโทงเทงไทย (P. angulata และ P. minima)
ซึ่งมีรูปร่างค่อนข้างแปลก มีกลีบเลี้ยงหุ้มผลกลมๆ เล็กๆ
อยู่ภายในคล้ายกับระฆัง จึงมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า ระฆังทอง (gold
bell) ในต่างประเทศนิยมนำผลสุกสีเหลืองส้มที่ต้มแล้วใส่ในพาย พุดดิ้ง
ไอศกรีม และแปรรูปเป็นแยมหรือเยลลี่1 มีกลิ่นและรสชาติเฉพาะตัว
ปัจจุบันมีการพัฒนานำกลิ่นและน้ำมันจากผลสุกมาใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตอาหาร
สำหรับในประเทศไทยมีการแปรรูปเป็นนำคั้นบรรจุขวดออกมาจำหน่ายของมูลนิธิ
โครงการหลวง นอกจากจะรับประทานผลสดแล้ว
อาจนำมาใส่สลัดบริโภคร่วมกับผักชนิดอื่นๆ ให้รสชาติหวานอมเปรี้ยว
ประกอบไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ และวิตามินอี รวมทั้งแคโรทีนอยด์
และสารต่างๆ ที่มีบทบาทสำคัญในการต้านอนุมูลอิสระ7. หม่อน หรือ มัลเบอร์รี (Mulberry: Morus alba L.)
นิยมนำมารับประทานผลสด อบแห้ง และหมักเป็นไวน์ หรือแปรรูปเป็นแยม
เป็นผลไม้ที่ให้พลังงานต่ำ
อุดมไปด้วยสารกลุ่มโพลีฟีนอลช่วยในการต้านอนุมูลอิสระของร่างกาย
และยังมีงานวิจัยพบว่าสารสกัดผลหม่อนมีฤทธิ์ช่วยในการยับยั้งเซลล์ไขมัน
มีฤทธิ์ปกป้องระบบประสาทโดยกลไกการยับยั้งการสะสมของโปรตีนแอลฟา-ไซนิวคลี
อิน (?-synuclein)
ที่มีผลต่อการทำหน้าที่ของเซลล์ประสาทและเป็นสาเหตุของอาการสมองเสื่อม
และนอกจากผลหม่อนจะมีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว
ใบหม่อนยังมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่น่าสนใจ
โดยมีการศึกษาทางคลินิกระบุว่าในใบหม่อนพบสารสำคัญ 1-deoxynojirimyrin
(DNJ)
มีผลช่วยลดน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานและลดอัตราเสี่ยงของการเกิดภาวะ
น้ำตาลในเลือดสูงได้8. เสาวรส (Passion fruit) หรือ กะทกรกฝรั่ง ที่ปลูกกันทั่วไปมี 2
ชนิด คือ ชนิดผลสีเหลือง (Passiflora edulis Flavicarpa) และชนิดผลสีม่วง
(Passiflora edulis Sims) มีรสชาติเปรี้ยวและกลิ่นหอมเฉพาะตัว
เนื้อเสาวรสทั้งสองชนิดอุดมไปด้วยสารสำคัญรวมทั้งวิตามินต่างๆ
นิยมนำมาแปรรูปเป็นน้ำผลไม้
และมีการศึกษาในผู้สูงอายุทั้งเพศหญิงและชายที่สุขภาพดี
ให้ดื่มน้ำเสาวรสทั้งชนิดเปลือกสีม่วงและสีเหลือง วันละ 1 แก้ว
ปริมาณประมาณ 125 มล. ติดต่อกัน 4 สัปดาห์ ผลการศึกษาโดยรวมพบว่าเสาวรสทั้ง
2 ชนิด
มีผลช่วยเพิ่มการทำงานของเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระและมีฤทธิ์ยับยั้งไซโตไคน์
(cytokine) ที่กระตุ้นให้มีการอักเสบ
อย่างไรก็ตามไม่ควรดื่มน้ำเสาวรสที่มีส่วนผสมของน้ำตาลในปริมาณสูงเกินไป
เพราะอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพได้9. อะโวคาโด (Avocado: Persea americana Mill.)
เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (monounsaturated
fatty acid) มีประโยชน์ต่อร่างกายในการลดปริมาณคอเลสเตอรอลรวม
คอเลสเตอรอลชนิด LDL ไตรกลีเซอร์ไรด์
รวมทั้งมีผลเพิ่มปริมาณคอเลสเตอรอลชนิด HDL ซึ่งเป็นผลดีต่อร่างกาย
นอกจากนี้อะโวคาโดยังเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการ น้ำตาลน้อย
กลิ่นและรสชาติ
รวมทั้งเนื้อสัมผัสที่นุ่มเหมาะสำหรับเป็นอาหารเสริมของเด็กทารก (infant)
และเด็กวัยเตาะแตะ (toddler) ในช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านอาหาร
(transitional feeding)
สำหรับผู้ใหญ่การรับประทานอะโวคาโดยังช่วยในการดูดซึมวิตามินเอ
เมื่อรับประทานควบคู่กับผักผลไม้ที่อุดมไปด้วยแคโรทีนอยด์ เช่น มะเขือเทศ
แครอท เป็นต้น อย่างไรก็ตามอะโวคาโดเป็นผลไม้ที่มีวิตามินเคสูง
จึงควรระมัดระวังในผู้ที่ใช้ยาวาร์ฟาริน (warfarin)
เพราะอาจไปยับยั้งกลไกต้านการแข็งตัวของเลือดของยาได้10. กีวีฟรุต (Kiwi fruit, Chinese gooseberry) มีหลายชนิด
ที่มีการเพาะปลูกในไทยและให้ผลผลิตได้ดีมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Actinidia
deliciosa เป็นสายพันธุ์จากประเทศนิวซีแลนด์
รวมทั้งมีการศึกษาทดลองปลูกชนิดอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น A. chinensis และ A.
arguta เป็นต้น2
กีวีฟรุตมีวิตามินซีสูงมากช่วยในการต้านอนุมูลอิสระของร่างกาย
และมีกากใยสูงช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวของลำไส้
โดยมีการศึกษาในผู้ป่วยลำไส้แปรปรวนร่วมกับมีอาการท้องผูกให้รับประทานกีวี
ฟรุต 2 ผล/วัน เป็นเวลา 4 สัปดาห์
พบว่ามีผลช่วยปรับปรุงการทำงานของระบบทางเดินอาหารและช่วยลดอาการท้องผูกได้11. ฟิก (Fig: Ficus carica L.) หรือ มะเดื่อฝรั่ง
อาจจะเป็นผลไม้ที่ยังไม่ได้รับความนิยมสำหรับคนไทยในปัจจุบัน
แต่ก็เป็นที่รู้จักมากขึ้น
มีการนำเข้าผลสดและฟิกอบแห้งจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
และมีการทดลองปลูกในไทย ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดี ผลโต รสชาติดี
มีสรรพคุณแผนโบราณเป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยในเรื่องการขับถ่าย
อุดมไปด้วยวิตามินต่างๆ รวมทั้งสารกลุ่มแอนโทไซยานิน
มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบเช่นเดียวกันนอกจากที่กล่าวมาแล้ว
ยังมีผลไม้ในโครงการหลวงอีกหลายชนิดซึ่งมีคุณค่าทางโภชนาการที่เป็นประโยชน์
ต่อร่างกาย เช่น มะม่วง มะละกอ สาลี่ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี เช่น บลูเบอร์รี
ราสพ์เบอร์รี เป็นต้น
และจากข้อมูลงานวิจัยเกี่ยวกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของผลไม้ในโครงการหลวง
ถึงแม้บางงานวิจัยอาจจะยังมีข้อมูลทางคลินิกเพียงเล็กน้อยแต่อย่างไรก็ตามการรับประทานผลไม้หลากหลายชนิดในปริมาณที่เหมาะสม
ทำให้ร่างกายได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างเพียงพอ
มีส่วนช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง
และยังเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามปณิธานของมูลนิธิ
โครงการหลวงอีกด้วย