10 วิธีแก้หูอื้อเบื้องต้น ปราบอาการหูดับด้วยตนเอง
หูอื้อบ่อย ๆ อยากหายต้องลองวิธีแก้หูอื้อ ปราบอาการหูดับไปด้วยในตัว
ซึ่งไม่ว่าจะหูอื้อข้างเดียวหรือหูอื้อตอนไหน ยังไง
วิธีเหล่านี้ก็จัดการให้คุณได้หมด
อาการหูอื้อ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Tinnitus
ซึ่งนอกจากอาการหูอื้อแล้ว
ขณะที่เกิดอาการหูอื้อเรายังจะได้ยินเสียงดังในหู คล้ายกับมีแมลงบินในหู
หรืออาจได้ยินเป็นเสียงวีดแหลม ไม่ก็เสียงตุบ ๆ
เหมือนได้ยินเสียงชีพจรของตัวเองเต้น
แต่ถึงแม้จะได้ยินเสียงในหูหลากหลายเสียงก็ใช่ว่าหูอื้อแล้วจะสนุกใช่ไหมล่ะ
เพราะอาการหูอื้อทำให้เราหูดับ ได้ยินเสียงจากสภาพแวดล้อมไม่ค่อยชัด
แถมบางคนยังหูอื้อข้างเดียว เสียสมดุลการฟังกันไปอีก แบบนี้ต้องลองวิธีแก้หูอื้อให้เด็ดขาด ด้วยวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น
ทว่าก่อนเราจะมาดูวิธีแก้หูอื้อเบื้องต้น ลองทำความเข้าใจกันก่อนค่ะว่า อาการหูอื้อเกิดจากอะไรได้บ้าง
หูอื้อ เกิดจากอะได้บ้าง
บางเคสของอาการหูอื้อก็ไม่เป็นอันตราย
แต่บางเคสก็อาจบอกใบ้ได้ว่าเรามีโรคภัยน่ากลัวซ่อนอยู่
โดยสาเหตุของอาการหูอื้อ อาจมีได้ดังนี้ค่ะ
ประสาทหูได้รับเสียงดังเกินไป เช่น อยู่ในคอนเสิร์ต เสียงพลุ
เสียงระเบิดใกล้ ๆ ตัว ซึ่งอาจทำให้ประสาทหูเสื่อมเฉียบพลันหรือเรื้อรังได้
- ประสาทหูเสื่อมตามอายุไข เมื่ออายุมากขึ้น ประสาทหูก็อาจเสื่อมสภาพลงได้เช่นกัน
หูอื้อจากไข้หวัด โดยอาจเกิดจากท่อยูสเตเซียน
ที่อยู่ระหว่างหูชั้นกลางกับบริเวณลำคอด้านหลังโพรงจมูก
ซึ่งมีหน้าที่ปรับความดันภายในหูชั้นกลางกับบบรรยากาศภายนอกทำงานผิดปกติไป
ก่อให้เกิดอาการหูอื้อ
หรืออาจเกิดจากหูชั้นกลางติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียจากหวัดจนอักเสบ
ทำให้หูอื้อได้เช่นกัน
- ภาวะน้ำเข้าหู ส่งผลให้ขี้หูอมน้ำและบวมจนอุดตันช่องหูชั้นนอก ก่อให้เกิดอาการหูอื้อ
หูอื้อจากการเปลี่ยนความดันอากาศ ไม่ว่าจะขึ้นเครื่องบิน หรือดำน้ำ
ความกดอากาศบนท้องฟ้ากับใต้น้ำลึกอาจทำให้หูชั้นกลางอักเสบจนอื้อได้
- การใช้ยาที่เป็นพิษต่อประสาทหูเป็นเวลานาน ๆ เช่น salicylate, aminoglycoside, quinine, aspirin เป็นต้น
- อาการบาดเจ็บของกะโหลกศีรษะที่ส่งผลกระทบกระเทือนต่อหูชั้นใน
- การผ่าตัดหูที่มีการกระทบกระเทือนต่อหูชั้นใน
- ภาวะมีรูรั่วติดต่อระหว่างหูชั้นกลางและหูชั้นใน
- การติดเชื้อของหูชั้นใน เช่น ติดเชื้อจากซิฟิลิส ไวรัสเอดส์
โรคบางชนิด เช่น โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
โรคเกี่ยวกับหลอดเลือดอย่างโรคเส้นเลือดในสมองตีบ ความดันโลหิตสูง
เนื้องอกในสมอง หรือเป็นผลข้างเคียงจากโรคอื่น ๆ เช่น โรคโลหิตจาง
โรคภูมิแพ้ตัวเอง มะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคเกล็ดเลือดสูงผิดปกติ
โรคยูริกในเลือดสูง โรคไต เบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดสูง
ทั้งนี้สาเหตุของอาการหูอื้อยังอาจเกิดจากปัจจัยหรือผลข้างเคียงของโรคอื่น
ๆ ได้อีก ซึ่งในส่วนนี้ต้องให้แพทย์เฉพาะทางเป็นผู้วินิจฉัยนะคะ
แต่คราวนี้เรามาดูกันค่ะว่าจะใช้วิธีไหนแก้หูอื้อได้บ้าง
วิธีแก้หูอื้อเบื้องต้น
1. บีบจมูก กลืนน้ำลาย
ในเคสที่หูอื้อเพราะดำน้ำหรือขึ้นเครื่องบิน
ซึ่งอาการเกิดจากความเปลี่ยนแปลงของความดันอากาศ
เราสามารถแก้อาการหูอื้อได้ง่าย ๆ ด้วยการทำ Toynbee maneuver
คือบีบจมูกทั้ง 2 ข้าง พร้อมกับกลืนน้ำลาย 1 ครั้ง
จากนั้นเอามือที่บีบจมูกออก แล้วกลืนน้ำลายอีก 1 ครั้ง
วิธีนี้จะช่วยให้ท่อยูสเตเซียนเปิดและปิด แก้อาการหูอื้อได้
2. รักษาหวัดให้หาย
ในกรณีที่หูอื้อเพราะเป็นหวัด แนะนำให้รักษาอาการหวัดให้หายดี แต่หากหวัดหายแล้วยังหูอื้ออีก ให้พบแพทย์เพื่อหาสาเหตุอีกที
3. นั่งหลังตรง
ทางการแพทย์มีความเชื่อว่า
กล้ามเนื้อและเส้นประสาทบริเวณลำคออาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการหูอื้อได้
ในกรณีที่เรานั่ง-ยืน ผิดท่า ดังนั้นหากหูอื้อขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย
ลองนั่งและยืนหลังตรงเข้าไว้ค่ะ เพื่อปรับสมดุลเส้นประสาทดังกล่าวนั่นเอง
4. เติมวิตามินให้ร่างกาย
Michael
Seidman หัวหน้าศูนย์แพทย์ Center for Integrative Medicine
เผยงานวิจัยว่า อาการหูอื้ออาจเกิดเพราะร่างกายเราขาดวิตามิน B12 และซิงค์
ซึ่งเป็นวิตามินตัวสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาท
ดังนั้นเราสามารถกินวิตามิน B12 วันละ 25-50 มิลลิกรัม และซิงค์วันละ 30
มิลลิกรัมเพื่อแก้อาการหูอื้อได้ ทว่าวิธีนี้จะเห็นผลเพียง 30-40%
เท่านั้นนะคะ
5. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
ประสาทหูที่เสื่อมเฉียบพลันก็ต้องการการฟื้นฟูเหมือนอวัยวะอื่น
ๆ เช่นกัน ดังนั้นคนที่หูอื้อไม่ยอมหาย
ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอนของตัวเองบ้างก็ดี โดยพยายามนอนก่อน 4 ทุ่ม
หรือพักผ่อนไม่ต่ำว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน
6. ฟังเพลงบรรเลงกระตุ้นประสาทการฟัง
เสียงเพลงบรรเลงฟังสบายที่จัดอยู่ในหมวด
White Sound เช่น เสียงของคลื่นทะเล เสียงลมพัด เสียงน้ำไหล
เสียงที่ฟังสบายเหล่านี้จะช่วยปลุกประสาทการฟังของเราได้
โดยแนะนำให้เสียบหูฟังฟังระหว่างนอนหลับ
หรือใครกลัวรำคาญลองเปิดเพลงบรรเลงเสียงดังพอประมาณกล่อมตัวเองนอนก็ได้เช่นกันค่ะ
7. กำจัดขี้หู
สำหรับคนที่มีอาการหูอื้อ
ขอให้หลีกเลี่ยงการแคะหูด้วยตัวเอง
แต่ให้พบแพทย์เพื่อทำการกำจัดขี้หูออกให้
ซึ่งจะปลอดภัยและช่วยแก้หูอื้อได้มากกว่า
8. เอียงศีรษะเพื่อเอาน้ำในหูออก
ถ้ารู้สึกเหมือนน้ำเข้าหูและทำให้หูอื้อ
ควรเอียงศีรษะข้างที่มีน้ำเข้าหูลงต่ำ
ดึงใบหูให้กางออกและเฉียงไปทางด้านหลัง
ซึ่งจะทำให้ใบหูราบตรงต่างจากลักษณะปกติที่ใบหูจะเป็นรูปตัว S
คราวนี้น้ำก็จะไหลออกจากหูได้สะดวกและส่วนมากก็จะพาเอาอาการหูอื้อหายไปด้วย
ทว่าหากใครยังหูอื้ออยู่ เคสนี้ต้องขอให้ไปพบแพทย์เฉพาะทางแล้วล่ะค่ะ
9. นวดบำบัด
สำหรับคนทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ มีอาการปวดเมื่อยพร้อมหูอื้อ
ลองนวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียดบริเวณลำคอ ไหล่ และหลัง
ซึ่งอาจช่วยคลายเส้นประสาทและกล้ามเนื้อจนอาการหูอื้อหายไปได้
10. พบแพทย์เฉพาะทาง
หากลองรักษาเบื้องต้นแล้วไม่หาย แนะนำให้ไปพบแพทย์เฉพาะทาง
โดยแพทย์จะวินิจฉัยสาเหตุของอาการหูอื้อ และรักษาตามสาเหตุที่เป็น
ซึ่งอาจจะทำการรักษาด้วยยา เช่น
ยาขยายหลอดเลือดเพื่อเพิ่มเลือดไปเลี้ยงหูชั้นในมากขึ้น ยาบำรุงประสาทหู
เป็นต้น หรืออาจรักษาด้วยการผ่าตัด แล้วแต่เคสนั้น ๆ ไป
วิธีป้องกันหูอื้อ
ถ้าไม่อยากรำคาญกับอาการหูอื้อ เรามีวิธีป้องกันหูอื้อมาฝาก
- หลีกเลี่ยงเสียงดัง
เคี้ยวหมากฝรั่งหรือพยายามกลืนน้ำลายบ่อย ๆ ขณะโดยสารเครื่องบิน
เพื่อให้ท่อยูสเตเซียนเปิดและปิดอยู่ตลอดเวลา ป้องกันอาการหูอื้อได้
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีพิษต่อประสาทหู เช่น แอสไพริน, aminoglycoside และ quinine
- ลดอาหารเค็มหรือเครื่องดื่มบางประเภทที่มีสารกระตุ้นประสาท เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลม
- งดสูบบุหรี่ เพราะนิโคตินอาจขัดขวางการลำเลียงเลือดไปยังประสาทหูได้
- รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี ๆ พยายามระมัดระวังเหตุที่จะกระทบกระเทือนไปถึงหูได้
- หลีกเลี่ยงความเสี่ยงของการติดเชื้อที่หู หรือการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน
- พยายามออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน
- ลดความเครียด วิตกกังวล
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- ควบคุมโรคที่เป็นให้ดี โดยเฉพาะโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง
ไขมันในเลือดสูง โรคไต โรคกรดยูริกในเลือดสูง โรคซีด โรคเลือด เป็นต้น
ส่วนมากแล้วอาการหูอื้อจะไม่ค่อยน่ากังวลเท่าไร
เป็นสักพักก็อาจหายไปได้เองในบางกรณี แต่สำหรับคนที่หูอื้อมานาน
ทำท่าว่าจะเรื้อรัง อยากให้ไปปรึกษาแพทย์โดยเร็วที่สุดนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ราชวิทยาลัย โสต คอ นาสิกแพทย์ แห่งประเทศไทย
คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล
prevention
webmd
reader?s digest
wikihow