9 อาการ สัญญาณเตือน! คุณกำลังเป็นโรคคลั่งกินคลีนเสียแล้ว
เดี๋ยวนี้เทรนด์รักสุขภาพกำลังเป็นที่นิยม
ผู้คนต่างมาให้ความสนใจกับสุขภาพของตนเองมากขึ้น
ไม่เพียงแต่การออกกำลังกายเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเรื่องอาหารการกิน
หรือที่เราๆ รู้จักกันในนามของ ?อาหารคลีน? ด้วย
ซึ่งจะมีคนบางกลุ่มที่ต้องการมีหุ่นที่ดี ดูแลการทานอาหารมากเกินไป
จนกลายเป็นเข้มงวดกับตัวเอง ส่งผลอาจทำให้คุณกลายเป็น ?โรคคลั่งกินคลีน?
ไปโดยไม่รู้ตัวผู้มีอยู่ในภาวะOrthorexiaNervosa หรือ โรคคลั่งกินคลีน นั้น
จะมีอาการวิตกกังวลเรื่องอาหารการกินมากจนเกินเหตุ
เลือกทานแต่อาหารที่ตนเองมีความเข้าใจว่าดีต่อสุขภาพเพียงอย่างเดียว
และอาจมีอาการรังเกียจ หรือปฏิเสธอาหารปนเปื้อน ที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย
คอยระวังเรื่องปริมาณแคลอรี่ที่จะได้รับจากอาหารที่กินอยู่เสมอ
แต่สิ่งที่ผู้ที่มีอาการคลั่งกินคลีนลืมนึกถึงไปก็คืออาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่จำเป็นลองมาเช็กความเสี่ยงกันหน่อยดีกว่าว่า
พฤติกรรมการทานอาหารของคุณในตอนนี้ เข้าค่ายการเป็นโรคคลั่งคลีนหรือเปล่า?อาการของโรคคลั่งกินคลีน
1.หมกหมุ่นว่าอาหารต้องดีต่อสุขภาพเท่านั้น จึงจะกิน อาจเสียเวลาเพื่อเลือกอาหารที่จะกินนานนับชั่วโมง
2. ไม่รับและปฏิเสธอาหารที่ผลิตจากระบบอุตสาหกรรม
เพราะมีความเชื่อว่าเป็นอาหารที่ไม่มีคุณภาพ อาจมีสารปนเปื้อน
อาจทำให้เราเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งได้3. เคร่งครัด เอาจริงเอาจังกับปริมาณแคลอรี่ของแต่ละมื้ออาหารที่ได้รับ
4. รู้สึกดี และมีคุณค่าเมื่อตนเองได้ทานอาหารคลีน
5. หากพลาดไปทานอาหารที่ตนเองรู้สึกว่าไม่ดีต่อสุขภาพ จะระบายออกด้วยการออกกำลังอย่างหนัก รวมถึงเข้มงวดกับการกินคลีนมากขึ้น
6. ย้ำคิดย้ำทำ ล้างผัก ผลไม้
และเนื้อสัตว์จนกว่าจะมั่นใจว่าสะอาดถึงนำมาประกอบอาหาร
หรือตรจสอบหลายครั้งให้แน่ใจว่าอาหารที่จะทานนั้นสะอาดจริงๆ7. รู้สึกผิดมาก หากทำตามกฎเกณฑ์ที่ตัวเองตั้งขึ้นไม่ได้
8. พยายามปกปิดพฤติกรรมการกินของตัวเอง ไม่ให้คนอื่นรู้
9. บางคนเป็นหนักถึงขั้นไม่ร่วมทานอาหารกับครอบครัว หรือคนรักเลย เพราะกลัวไม่คลีน
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าการเลือกรับประทานอาหารที่สะอาด
ดีต่อสุขภาพจะเป็นเรื่องที่ดี
แต่ทั้งนี้ก็ต้องคำนึงในเรื่องของสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายด้วย
หากร่างกายขาดสารอาหารไป ก็ย่อมไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพของเราแน่ๆ ดังนั้น
ไม่ว่าจะทำอะไรก็ควรจะตั้งอยู่ในความพอดี เพราะอะไรที่มันมากจนเกินไป
มันก็ไม่ได้เป็นผลดีเท่าไหร่นะที่มา :www.healthandtrend.com และwww.ppat.or.th