วิธีสังเกต ว่าเขาเป็นเพื่อน เป็นแฟน หรือเป็นผัวเมียกัน
เมื่อไม่นานมานี้ ไปเดินเที่ยวสยามมา เกิดความรู้สึกอิจช้า?.อิจฉา หลายๆคู่ที่ได้เป็นแฟนกันข้าวใหม่ปลามัน กะหนุงกะหนิงเสียจริงแต่
พอทำใจได้สักพัก ก็คว้าหมับเข้าให้ได้ประเด็นนึง จาก วิธีสังเกต
การนั่งมองคู่เดทเหล่านั้นทั้งวัน นั่นก็คือ เรื่องของเอกลักษณ์ของคู่เดท
นั่นเอง
เรื่องของเรื่องก็คือว่า เท่าที่เก็บข้อมูลมาจนถึงวันนี้
พอจะสรุปเป็นดัชนีชี้วัด ในการที่จะแยกออกได้ว่า
หนุ่มสาวหรือชายหญิงที่เดินผ่านสายตาของเรา คู่ใดเป็นเพื่อน คู่ใดเป็นแฟน
คู่ใดเป็นสามีภรรยา และคู่ใดเพิ่งเริ่มจะเดทกัน โดยแบ่งออกได้เป็น 3 ประเด็น คือการใช้สรรพนาม การแต่งกาย และภาษาท่าทางการวางตัว ตามตารางด้านล่างนี้เลยสถานะ | สรรพนาม | Why? |
คู่เพื่อน | กู/มึง, เรา/แก | แน่นอนครับว่าสมัยนี้ต่อให้เป็นผู้ดีแค่ไหน แต่ถ้าเป็นเพื่อนซี้เพื่อนร่วมวัยกันแล้วล่ะก็ คงไม่พ้นสรรพนามดังกล่าว |
คู่เริ่มเดท ใหม่ | เรา/เธอ | ระยะนี้ ต่างฝ่ายต่างกำลังดูเชิงกันอยู่ การใช้คำว่าเราและเธอ เป็นการเว้นช่องว่างไม่ให้ห่างเหินและหรือสนิทสนมกันจนน่าเกลียด เรียกว่ากำลังไว้ฟอร์มกันอยู่ |
คู่แฟน | เรียกชื่อตัวเอง/เรียกชื่ออีกฝ่าย, มีชื่อเฉพาะรู้กันแค่สองคน | นี่แหละ ระยะนี้แหละที่จะเห็นความแตกต่างได้ชัดเลย กับหนุ่มสาวในสถานะอื่นๆ ไม่จำเป็นต้องมากอดจูบลูบคลำกันให้ประจักษ์ต่อหน้าธารกำนัล เราก็บอกได้ว่าคู่ไหนเป็นแฟนกันจากการเรียกชื่อเล่นของตัวเองและอีกฝ่ายแทนสรรพนามยิ่งถ้าคู่ไหนกำลังหวีทหวิวล่ะก็ จะมีชื่อแปลกๆที่รู้กันเฉพาะ 2 คน ทำเอาคนรอบข้างงไปตามๆกัน เช่น ผู้หญิงชื่อน้องเตย ฝ่ายชายอาจจะตั้งชื่อให้ว่า กระรอกน้อย (เพราะเธอมีฟันกระต่าย) เป็นต้น |
คู่สามีภรรยา | ชั้น/คุณ, แม่/พ่อ, ม๊า/ป๊า, หม่ามี๊/ป่าปี๊ | หากคู่ใดค่อนข้างเป็นทางการ หรือเคร่งขรึมกันหน่อย เรามักจะได้ยินคำว่าชั้น ผมและ คุณ ในการสนทนา.นอกจากนี้ ยังมีคู่ที่เรียกกันอย่างน่ารักว่า ม๊า/ป๊า หรือแม่/พ่อ ให้ได้ยินกันบ่อยๆ (เป็นประจำตามห้างต่างๆในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ )
|
สถานะ | การแต่งกาย | Why? |
คู่เพื่อน | ถ้าไม่คนละแนวโดยสิ้นเชิง ก็เหมือนกันไปเลย | เป็นไปได้ 2 กรณี คือคนละแนว เพราะทางใครทางมันอยู่แล้ว หรือไม่ก็เหมือนกันไปเลย คือชุดฟอร์มสถาบันหรือชุดทำงานที่เดียวกันนั่นเอง |
คู่เริ่มเดทใหม่ | เสื้อผ้าใหม่เอี่ยม (ยังเหม็นใหม่อยู่เลย) | ไม่ว่าจะแต่งแนวไหน คู่เดทใหม่มักจะเลือกเสื้อผ้าตัวที่ใหม่ที่สุด หรือไม่ก็ซื้อใหม่เลยด้วยซ้ำ เพราะฮอร์โมนกำลังสูบฉีด และอยากให้ดูดีในสายตาของอีกฝ่าย |
คู่แฟน | เป็นตัวของตัวเอง (แต่แอบเหมือน) | เมื่อเริ่มมั่นใจในความสัมพันธ์แล้ว ทั้งคู่จะเริ่มงัดเสื้อผ้าตัวโปรดของตัวเองออกมาใส่ และถ้าจะซื้อใหม่ล่ะก็ จะต้องเลือกสี หรือลายที่เหมือนกัน เพื่อบอกใครต่อใครว่าคนที่เดินข้างเนี่ย แฟนฉันนะเฟ้ย |
คู่สามีภรรยา | สบายสุดๆ (สบายเกิ๊นน) | คงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก แค่นึกภาพการแต่งกายของคุณพ่อ คุณแม่ น้าๆอาๆ ตามห้างสรรพสินค้าเช่นเคย
|
สถานะ | ภาษาท่าทาง (Body Language) | Why? |
คู่เพื่อน | เดินซะห่าง, สัมภาระใคร สัมภาระมัน | แน่นอนว่าแค่เพื่อนเท่านั้น ถ้าไกลกันเกิน หรือถือของให้ ก็ไม่ได้คิดแค่เพื่อนแล้วล่ะ (อย่าหลอกตัวเองเล๊ย) |
คู่เริ่มเดท ใหม่ | เดินกุกๆกักๆ, ฝ่ายชายถือถุง ถือกระเป๋า | ที่เดินงึกๆงักๆอยู่น่ะ เพราะพยายามไม่ให้เข้าใกล้จนถูกเนื้อต้องตัว หรือห่างกันจนไกลกันเกินไป และฝ่ายชายก็มักจะจำมารยาทสังคมขึ้นใจว่า ผู้หญิงมีอะไร ข้าต้องคว้ามาถือให้ลูกเดียว (และไม่รู้จะเอามือไว้ตรงไหนด้วย กะลังเขิล) |
คู่แฟน | จูงมือ โอบเอว โอบไหล่ ลูบไล้ สัมผัส (นิดหน่อยก็ยังดี) | สัมภาระที่มี ในสถานะนี้ไม่สำคัญแล้วว่าใครจะเป็นคนถือ เพราะทั้งสองมือต่างก็โอบกอด จูงเกี่ยว พันกันเป็นปลาหมึกไปหมด จากที่ไม่รู้จะเอามือไว้ตรงไหนในเดทครั้งแรกๆ ตอนนี้ทำท่าว่ามือจะไม่พอซะแล้ว |
คู่สามีภรรยา | ผู้หญิงเดินหน้า ผู้ชายตามหลัง | ก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ทุกคู่หรอกนะ แต่บอกได้เลยว่า ส่วนใหญ่.ไม่รู้เป็นพันธุกรรมอะไร พออยู่กินกันไปนานๆ อำนาจและความเป็นผู้นำ มันมักจะหดหายจากฝ่ายชาย ย้ายไปเป็นของฝ่ายหญิงโหม๊ดดด (ฮา)
|
ที่มาจาก นัดเดท