ตำนานความรัก 'กำไลมาศ' เรื่องจริงในสมัยรัชกาลที่ 5
ตอนนี้ละครเรื่อง ?กำไลมาศ?
กำลังเข้มข้นสนุกเลยทีเดียวซึ่งละครเรื่องนี้สร้างมาจากนิยายของพงศกร
นักเขียนนิยายชื่อดัง และเพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่า? ?กำไลมาศ?
คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ สมัยรัชกาลที่ 5
กำไลชิ้นนี้เป็นของเจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ลดาวัลย์
เจ้าจอมพระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงโปรดและรัก
มาก
และเป็นเจ้าจอมคนสุดท้ายของราชวงศ์จักรีที่ยังดำรงชีพและถึงแก่อนิจกรรมใน
รัชกาลปัจจุบัน ไปติดตามตำนานความรักอันแสนเศร้านี้พร้อมๆ กันเลยดีกว่าค่ะตำนานความรัก ?กำไลมาศ? เรื่องจริงในสมัยรัชกาลที่ 5
ตำนานความรัก ?กำไลมาศ? เรื่องจริงในสมัยรัชกาลที่ 5
เรื่อง
ราวความรักที่เกิดขึ้นจริงของเจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับลดาวัลย์ได้ทรงพระ
กรุณาโปรดเกล้าฯ
สถาปนาท่านขึ้นเป็นเจ้าจอมพระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่
หัว
เป็นคนที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดและรักมากนั่นทำให้
ท่านเป็นที่ริษยาของเจ้าจอมคนอื่นๆเจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับลดาวัลย์เกิดเมื่อวันที่6 มีนาคม พ.ศ. 2433 เป็นธิดาในหม่อมเจ้าเพิ่ม ลดาวัลย์ กับหม่อมช้อย ลดาวัลย์ ณ อยุธยา (สกุลเดิม นครานนท์)
เมื่ออายุได้ 11 ปี ได้เข้าถวายตัวเป็นข้าหลวง
เมื่อ
ท่านมีอายุได้ 11 ปี
หม่อมยายได้พาท่านไปถวายตัวเป็นข้าหลวงในตำหนักพระวิมาดาเธอ
กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา
ซึ่งพระองค์ได้ทรงอบรมเลี้ยงดูหม่อมราชวงศ์สดับในฐานะพระญาติ
และยังโปรดให้เรียนหนังสือทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ รวมทั้งหัดงานฝีมือ
ตลอดจนการอาหารคาวหวานจนเชี่ยวชาญ นอกจากความอัจฉริยภาพและความงามแล้ว
เสียงอันไพเราะของท่าน ยังเป็นคุณสมบัติที่โดดเด่นอีกด้วยเจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับลดาวัลย์ได้รับพระราชทาน ?กำไลมาศ?
เมื่อ
วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2449
หม่อมราชวงศ์สดับได้เข้าปฏิบัติหน้าที่เป็นเจ้าจอมในพระบาทสมเด็จพระจุล
จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว วันนี้ท่านได้รับพระราชทาน ?กำไลมาศ? จากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกำไลมาศเป็น
กำไลทองคำแท้จากบางสะพาน หนักสี่บาท ทำเป็นรูปตาปูโบราณสองดอกไขว้กัน
ปลายตาปูเป็นดอกเดียวกัน ถ้ามองตรงๆ เป็นอักษร S
(มาจากชื่อย่อของเจ้าจอมสดับ)
หากพลิกข้อมือเพียงเล็กน้อยมองอีกด้านหนึ่งจะกลับเป็นอักษร C (จุฬาลงกรณ์)
สิ่งที่ทำให้กำไลทองวงนี้มีชื่อมากที่สุดในบรรดาเครื่องประดับสูงค่าของรัตน
โกสินทร์ไม่ใช่ราคา
หรือการออกแบบแต่เป็นตัวอักษรซึ่งเป็นบทกลอนพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสลักไว้บริเวณด้านบนของกำไลว่ากำไลมาศชาตินพคุณแท้ | ไม่ปรวนแปรเป็นอื่นยั่งยืนสี |
เหมือนใจตรงคงคำร่ำพาที | จะร้ายดีขอให้เห็นเช่นเสี่ยงทาย |
ตาปูทองสองดอกตอกสลัก | ตรึงความรักรัดไว้อย่าให้หาย |
แม้รักร่วมสวมใส่ไว้ติดกาย | เมื่อใดวายสวาสดิ์วอดจึงถอดเอย |
คราว
ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่นี้
เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับได้บันทึกไว้ว่า
?ในวันเฉลิมพระที่นั่งนี้ทรงพระมหากรุณาสวมกำไลทองรูปตาปูพระราชทานข้าพเจ้า
ทรงสวมโดยไม่มีเครื่องมือ บีบด้วยพระหัตถ์
รุ่งขึ้นจึงต้องรับสั่งให้กรมหลวงสรรพศาสตร์พาช่างทองแกรเลิตฝรั่งชาติ
เยอรมันนำเครื่องมือมาบีบให้เรียบร้อย?วันที่สุขที่สุด!
วันที่ท่านได้รับพระราชทาน ?กำไลมาศ? ถือว่าเป็นวันที่ท่านมีความสุขมากที่สุด และทั้งตลอดชีวิตของท่าน เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับมิได้ถอดออกจากข้อมือเลยจวบจนชีวิตท่านหาไม่แล้ว
หม่อมหลวงพูนแสง สูตะบุตร ผู้เป็นหลานสาวจึงเป็นผู้ที่ถอดออกให้
และได้ถวาย ?กำไลมาศ? แด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
ในงานพระราชทานเพลิงศพของเจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับนั้นเอง
ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้เก็เจ้า
จอมหม่อมราชวงศ์สดับ ได้รับพระราชทานเครื่องยศ ประกอบด้วย
หีบหมากทองคำลงยาราชาวดี พานทอง เป็นพานหมากมีเครื่องในทองคำกับกระโถนทองคำ
และได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าฝ่ายใน ชั้น
ทุติยจุลจอมเกล้าฝ่ายใน
ซึ่งเป็นเครื่องยศและเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นพระสนมเอก ท่านจึงเป็น
พระสนมเอก ท่านสุดท้ายในรัชกาลราชทานเกียรติให้นั่งพระเก้าอี้ทองตราแผ่นดิน
ซึ่งเป็นพระเก้าอี้สำหรับพระมเหสีเทวีและพระบรมราชวงศ์ชั้นเจ้าฟ้า
ประทับเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในการพระราชพิธี
(ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ถ่ายเมื่อ พ.ศ.๒๔๕๐)วันที่ทุกข์ที่สุด!
วัน
ที่หม่อมราชวงศ์ได้เล่าว่าเป็นวันที่ทุกข์ที่สุดก็คือ
วันที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประพาสยุโรป เมื่อปี พ.ศ. 2450
เนื่องจากก่อนรัชกาลที่ 5 จะเสด็จพระราชดำเนินนั้น
มีพระราชดำริที่จะให้เจ้าจอมสดับตามเสด็จไปยุโรปด้วย
ในฐานะข้าหลวงในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้านิภานภดล
กรมขุนอู่ทองเขตขัตตินารี
ถึงกับสอนภาษาอังกฤษพระราชทานเองก่อนเสวยพระกระยาหารทุกคืน
แต่มีเหตุขัดข้อง จึงมิอาจเป็นไปตามพระราชดำรินั้นได้แม้กระนั้น
พระองค์ก็มิได้ทรงเพิกเฉย เมื่อเสด็จออกนอกอ่าวไทยจนไปถึงในหลายๆ ประเทศ
ทรงมีพระราชนิพนธ์กลอนด้วยลายพระหัตถ์รำพึงถึงความในพระราชหฤทัยมาถึงเจ้า
จอมสดับทุกสัปดาห์เมื่อได้รับลายพระราชหัตถเลขาแล้ว ท่านก็แสดงอาการดีใจออกมาทุกครั้ง แต่อาการนั้นทำให้เกิดความรู้สึกริษยาจากคนรอบข้างโดยที่ท่านไม่รู้ตัว
ทำให้พระวิมาดาเธอฯ ในฐานะผู้ปกครองจึงทรงต้องเข้มงวดกวดขันกิริยาอาการ
ตลอดไปถึงข้อความในจดหมาย ด้วยเกรงว่าจะเขียนกราบทูลในเรื่องไม่สมควรไปความรัก บ่อเกิดแห่งความริษยา
ครั้นพระ
บาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับถึงพระนคร
ก็ทรงซื้อเครื่องเพชรมาพระราชทาน
โปรดให้แต่งเครื่องเพชรแล้วให้ช่างถ่ายรูปชาวต่างชาติมาถ่ายรูป
โดยทรงพระกรุณาจัดท่าพระราชทาน และโปรดพระราชทานตู้ที่ระลึก
ยังทรงจัดของตั้งแต่งในตู้นั้นอีกด้วย อีกทั้งยังได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
สถาปนาท่านขึ้นเป็นพระสนมเอกอันเป็นตำแหน่งที่แม้เจ้าจอมมารดาบาง
ท่านรับราชการมาช้านานยังไม่ได้รับพระราชทาน
แต่ท่านซึ่งเป็นเพียงเด็กสาวรุ่น
และเพิ่งเข้ามารับราชการไม่นานนักกลับได้รับพระเมตตาไว้ในตำแหน่งที่สูงถึง
เพียงนี้ ยิ่งก่อให้เกิดความริษยาจากคนรอบข้าง ด้วยวัยเพียง 17 ปี
ท่านจึงได้เล่าถึงความรู้สึกครั้งนั้นว่า?เหลียวไปพบแต่ศัตรู คุณจอมนั้นส่อเสียดว่าอย่างนั้น คุณจอมนี้ว่าอย่างนี้ ตรองดูทีหรือข้าพเจ้าจะย่อยยับแค่ไหน?
ด้วยความอายุยังน้อย ขาดความยั้งคิด ท่านจึงตัดสินใจทำลายชีวิตตนเองด้วยการดื่ม น้ำยาล้างรูป!แต่ว่าแพทย์ประจำพระองค์ช่วยชีวิตไว้ทัน
เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับลดาวัลย์คนสุดท้ายที่ได้ร้องเพลง ?นางร้องไห้?
ครั้น
เมื่อท่านมีอายุได้ 20 ปี
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต ท่านมีความทุกข์
และเศร้าโศกอย่างยิ่ง
และนี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เจ้าจอมสดับได้มีโอกาสสนองพระเดชพระคุณคือ
การเป็นต้นเสียงนางร้องไห้หน้าพระบรมศพ ท่านได้กล่าวไว้ว่า?ใจคิดจะเสียสละได้ทุกอย่าง จะอวัยวะหรือเลือดเนื้อ หรือชีวิตถ้าเสด็จกลับคืนมาได้
ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นใจที่คิดแน่วแน่ว่าตายแทนได้ไม่ใช่แค่พูดเพราะๆ
คุณจอมเชื้อเอาผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งมาให้ข้าพเจ้า บอกว่าท่านได้ประทานไว้ซับพระบาท
ข้าพเจ้าจึงเอาผ้าที่ซับพระบาทนั้นแล้วพันมวยผมไว้ แล้วก็นั่งร้องไห้กันต่อไปอีก ??
สวรรคตและถวายพระเพลิงพระบรมศพแล้ว เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับก็เลิกไว้ผมยาว
เปลี่ยนไว้ผมสั้นตามแบบที่พระราชวงศ์และท้าวนางในพระบรมหาราชวังไว้กัน?ความรักยิ่งใหญ่กว่าสิ่งอื่นใด?
ใน
ปีที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตนั้น
เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับมีอายุเพียง 20 ปี
ทำให้ท่านเป็นที่จับตามองจากคนรอบข้างว่าจะสามารถครองตัวครองใจเป็นหม้ายได้
ต่อไปตลอดหรือไม่แต่นับตั้งแต่ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า
อยู่หัวเสด็จสวรรคต
ท่านยังจงรักภักดีครองตัวรักษาพระเกียรติยศพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า
อยู่หัว ดำรงสถานะพระสนมเอกอย่างงดงาม
เจ้าจอมท่านยังคงสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณลูบคลำกำไลทองแห่งความรักที่สวมใส่
ไม่เคยถอดวาง
ตามคำกลอนพระราชนิพนธ์ที่พระราชทานกำชับไว้ตราบจนวันสุดท้ายแห่งชีวิตหลัง
จากนั้นอีกไม่นาน
ท่านได้ถวายคืนเครื่องเพชรทั้งหลายที่ได้รับพระราชทานมาแด่สมเด็จพระศรีพัช
รินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จนหมดสิ้น
เหลือเพียงกำไลมาศซึ่งเจ้าจ
ที่ทรงสวม สมเด็จฯ ก็ได้ทรงรับไว้แล้วโปรดเกล้าฯ ให้นำไปขายที่ยุโรป
แล้วนำเงินมาสมทบทุนสร้างโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ทั้งสิ้น
นอกจากนั้นท่านยังหันไปยึดมั่นในพระพุทธศาสนา
เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลอีกด้วยท่านเจ้าจอมในวัยชรา
จน
เมื่อท่านเจ้าจอมนั้นมีวัยชราแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
ได้พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ให้ท่านกลับเข้ามาอยู่ในพระบรมมหาราชวัง
ในช่วงเวลานี้นี่เอง ที่ท่านได้มีโอกาสทำคุณประโยชน์อีกครั้ง
โดยการถ่ายทอดความรู้ต่างๆ ให้แก่ชนรุ่นหลัง เช่น- วิธีถักตาชุนหรือ ถักสไบ ที่เรียกกันว่า กรองทอง
- วิธีทำน้ำอบ น้ำปรุง
- ยาดมส้มโอมือ ฯลฯ
ตลอด
จนถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆในพระราชสำนักเมื่อครั้งกระนั้น
ให้ชนรุ่นหลังได้ฟังและจดบันทึกไว้ นับเป็นประโยชน์มาก
เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2526
สิริรวมอายุได้ 93 ปีขอบคุณข้อมูลth.wikipedia.org,www.bloggang.com ขอบคุณรูปภาพประกอบtopicstock.pantip.com