ก้อนหิน กับ น้ำฝน (True Story)

อ่าน 12,460

----------ผมกับแฟนคบกันมาได้เก้าเดือนแล้วครับ ไม่เยอะนักหรอกครับแต่ตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกันมา ผมรักเธอมากและผมก็รู้ว่าเธอรักผมมากเช่นกันแฟนผมเกิดที่ขอนแก่นแล้วเข้ามาเรียนต่อที่ ม.รามฯ ในกรุงเทพฯครับ ตอนแรกแฟนเช่าหอพักอยู่กับพี่สาวแต่พี่สาวของเธอก็ย้ายออกไปอยู่กับสามีในภายหลัง แฟนเลยต้องอาศัยอยู่ตัวคนเดียวครับ แฟนผมเป็นคนขยันมากครับ เอาการเอางานเพราะเธอเกิดเป็นลูกของชาวไร่ชาวนา เคยลำบากลำเค็ญตามประสาลูกอิสานมาก่อน ส่วนผมอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯมาตั้งแต่เด็ก เรื่องทำงานลำบากนี่แทบไม่เคยมีเลยครับ เพราะทางบ้านก็ฐานะไม่ได้ยากจน(แต่ก็ไม่ได้รวยเหมือนกัน) แล้วอีกเรื่องแฟนผมก็อยู่ในกรุงเทพฯมาได้ 2-3 ปีแล้วครับ ตอนนี้อายุ 19 ส่วนผมแก่กว่าเพราะอายุ 24----------ผมอายุปูนนี้แล้วยังเรียน ป.ตรี อยู่ครับ(ที่ ม.รามฯเหมือนกันแต่เป็นภาคค่ำ) แต่อีกแค่ปีเดียวก็จบแล้ว ช่วงที่ผมยังไม่ได้เจอแฟน ผมเคยถูกทิ้งมาแล้วสองครั้งครับ ครั้งแรกตอน ม.ปลาย เหตุผลคือ"ไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะเป็นแฟนด้วย" (ตอนนี้เธอแต่งงานมีครอบครัวมีลูกไปแล้ว) ครั้งสองตอนเข้าปีหนึ่ง เหตุผลคือ"ระยะทาง และ ความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิม"เพราะเรียนกันคนละที่(ตั้งแต่นั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย) ที่ผมโดนทิ้งทั้งสองครั้งตัดประเด็น"ชู้สาว"หรือ"ติดเที่ยว"ไปได้เลยนะครับ เพราะผมเป็นคนที่ไม่ชอบเที่ยวและก็ไม่คุยดะด้วย เพราะอะไรที่ผมไม่ชอบผมก็จะไม่ทำแบบนั้นเหมือนกัน และสองครั้งที่ผ่านมาผมไม่เคยรักใครมากเท่ากับแฟนคนนี้มาก่อนผมขอพูดตรงๆจากใจเลย----------ผมกับแฟนได้มาเจอกันที่ที่ทำงานครับเมื่อเดือน มกราคม ที่ผ่านมา ตอนนั้นแฟนผมเพิ่งเลิกกับแฟนเก่ามาได้ประมาณเดือนหนึ่ง ส่วนผมโดนทิ้งมาได้สี่ปีแล้ว และผมก็ตั้งมั่นกับตัวเองเลยว่า "จะไม่วุ่นวายเรื่องรักๆใคร่ๆอีก" ผู้หญิงทุกคนที่ผมคุยด้วยช่วงนั้นคือเป็นแค่เพื่อนหมดเลยครับ ไม่จีบไม่เกี้ยวไม่หยอดไม่อะไรทั้งสิ้น ปิดกั้นตัวเองแบบสุดๆเพราะผมเป็นคนที่ไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้าด้วย(เข้าสังคมไม่เก่งนั่นละครับ) เวลาทำงานเราหันหลังให้กันครับ วันแรกที่ผมทำงานแและได้เจอแฟนคนนี้ผมก็นั่งทำงานของผมไป มีน้องผู้หญิงที่นั่งข้างๆผมก็พยายามชวนคุยแต่ผมก็ไม่คุยถามคำตอบคำตลอด แล้วจุดพลิกผันก็เกิดขึ้น...เมื่อแฟนที่นั่งหันหลังชนกันเยื้องออกไปแค่หนึ่งโต๊ะเค้าหันมาทักผม ใช้คำว่าทักคงไม่ถูก หันมาถามเสียมากกว่าน้ำฝน : "พี่ใช่เรียนอยู่ที่ภาคพิเศษฯ ม.ราม หรือเปล่าคะ?"ก้อนหิน : "ใช่ครับผม"ผมจำความรู้สึกตอนนั้นได้เลยคือใจเต้นตึกตัก หน้านี่ชาดิก คือไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลยเวลาคุยกับผู้หญิงหรือโดนคนแปลกหน้าทัก เพราะพูดตรงๆกันตรงนี้เลยว่า ผมก็ไม่ได้เป็นคนหน้าตาดีหรือหุ่นเฟิร์มอะไร และแฟนผมก็ไม่ได้สวยเป๊ะหรือหุ่นเหมือนนางแบบด้วย แต่เธอทำให้ผมรู้สึกบางอย่าง ไม่รู้จะพูดเกินจริงหรือเปล่านะครับ...แต่มันแบบรู้สึกตัวเบา สมาธิแตกกระเจิง มือไม้สั่นไปหมด ทั้งๆที่คุยกันแค่นั้นละครับตอนบ่าย จนกระทั่งถึงตอนเลิกงานห้าโมงเย็นก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย----------หลังเลิกงานต่างคนต่างเดินออกมาจากออฟฟิศครับ ผมเดินออกมาคนเดียวเสียบหูฟัง เปิดฟังเพลงเบาๆจากมือถือ เดินมุ่งหน้าออกไปที่ป้ายรถเมล์หน้า ซ.รามฯ65 แต่เดินมาได้นิดเดียวผมก็เหลือบไปเห็นหลังของเธอในชุดเสื้อคลุมแขนยาวสีชมพูอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล กำลังเดินข้ามสะพานข้ามคลองแสนแสบ แล้วก็มาทันกันที่ป้ายรถเมล์ เธอยืนรออยู่ก่อนแล้ว และผมก็ทำในสิ่งที่ผมไม่เคยคิดว่าจะทำลงไป "...ผมถอดหูฟังออก แล้วไปสะกิดไหล่เธอข้างซ้ายครับ..."ผมยัง งง กับตัวเองเลย เพราะตลอดสี่ปีที่ผมอยู่คนเดียวมา ผมไม่เคยทักผู้หญิงก่อนแม้แต่ครั้งเดียว จนถึงตอนนี้อะไรดลใจให้ผมทำอย่างนั้นผมก็ยังหาคำตอบไม่ได้----------เธอหันมามองผม(มารู้ทีหลังเธอบอกว่า ตอนนั้นเธอคิด "ยิ้มใครวะมาสะกิด?" เพราะเธอก็ไม่ใช่คนที่จะทำตัวสนิทสนมกับคนแปลกหน้าเหมือนกัน) แล้วก็ยิ้มหัวเราะน้ำฝน : "อ้าว!"ก้อนหิน : "ชื่อ ฝน ใช่ปะ?"น้ำฝน : "ใช่ค่ะ"ก้อนหิน : "พี่ชื่อ...นะ ชื่อจีนที่แปลว่า ก้อนหิน น่ะ"แล้วเราก็คุยกันไปอีกครู่เดียวครับ ถามเรื่องงานที่ทำบ้าง ถามเรื่องเรียนบ้าง แล้วรถเมล์เธอก็มาพอดี สาย 207 (เธอพักอยู่แถวอ่อนนุชน่ะครับ) เธอบอกลาขอตัวกลับก่อน ส่วนผมก็ได้แต่โบกมือยิ้มให้ แล้วก็นั่งสองแถวไปลงหน้า เดอะมอลล์ บางกะปิ ก่อนจะต่อรถเมล์มาลงที่ รามอินทรา กม.8 เพื่อกลับบ้าน----------วันต่อมาเค้าพาผมไปแนะนำร้านข้าวช่วงเที่ยงแถวออฟฟิศ แนะนำเรื่องงานเรื่องนู่นนี่นั่นให้ผมทุกครั้งที่มีโอกาส อะไรควรทำที่ออฟฟิศหรือไม่ควรทำ ผมได้รู้จากเธอมาแทบทั้งหมด ความสัมพันธ์เราเริ่มพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ หลังเลิกงานเราก็ชวนกันไปหาอะไรทานที่ ตลาดนัด กกท. ฝั่งตรงข้าม ซื้อไปนั่งกินบนเนินสนามหญ้าริมสระน้ำมั่ง ทานเสร็จนั่งคุยกัน ยิ้มให้กัน หัวเราะให้กันมั่ง จากที่เราเคยเลิกงานแล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน เราใช้เวลาช่วงหลังเลิกงานอยู่ด้วยกันนานขึ้นเรื่อยๆ บางวันเรานั่งชันเข่าอยู่ข้างๆกัน แซวกันคุยกันไปจนถึงสามสี่ทุ่มซึ่งยามเขาปิดไฟไล่คนออกจากสนามหญ้า แล้วค่อยพากันเดินข้ามสะพานลอยกลับมาที่ป้ายรถเมล์ ช่วงนั้นเป็นเวลาที่มีความสุขมากๆครับ เรียกได้ว่าอยากเก็บช่วงเวลานี้ไว้ตลอดไปเลยก็ว่าได้ ยิ่งวันไหนไม่มีตลาดนัดนี่เป็นอะไรที่รู้สึกไม่ดีเอามากๆครับ ผมนี่อยากให้มีตลาดนัดทุกๆวันเลย----------เดือนแรกเงินเดือนออก เราพากันไปกินอาหารที่ร้านหลังเลิกงานบ้าง แชร์กันออกบ้าง เค้าเลี้ยงผมบ้าง ผมเลี้ยงเค้าบ้าง จนกระทั่งมันมาถึงวันที่เราตัดสินใจจะไปเที่ยวด้วยกันช่วงเสาร์อาทิตย์ครับ เดทครั้งแรกนี้ผมพากันไปเที่ยวคือที่ไหนรู้มั้ยครับ? "วัดพระแก้ว"ครับผม เพราะผมอยู่ในกรุงเทพฯก็จริงแต่ไม่ได้ไปมานานหลายสิบปีแล้ว ซึ่งผมอยากไปทำบุญกับเธอด้วย เลยเสนอไปและเธอก็ตอบตกลง เราไปกันตั้งแต่เช้าครับ นัดเจอกันที่แฮปปี้แลนด์แล้วก็ต่อรถเมล์ที่หน้าเดอะมอลล์ ทุลักทุเลตั้งแต่เริ่มเดินทาง เพราะเราสองคนไม่เคยนั่งรถเมล์ไปวัดพระแก้วมาก่อน ใช้สมาร์ทโฟนเปิดดูเส้นทางหาแล้วหาอีก แต่ก็มีความสุขกันดี ถึงจะเหนื่อยสุดๆก็ตาม ...ลงรถเมล์ผิดป้าย พากันเดินย้อนตากแดดไปที่ทางเข้า ร่มก็ไม่มีสักคัน เดินตระเวนดูนู่นนี่นั่นที่วัดพระแก้ว เดินวนหลงสองรอบหาทางออกไม่เจอ นั่งเรือข้ามฟากไปวัดอรุณ เข้าห้องน้ำทำบุญห้าบาท แล้วมาพักกินโรตีตรงท่าเรือข้ามฟาก ก่อนจะพากันไปนั่งคุยกันที่สนามหลวง ดูเขาต่อว่าวงูยาวขึ้นไปเรื่อยๆ ดูเขาฝึกฝูงนกบ้าง ก่อนจะพากันนั่งรถเมล์กลับมาลงที่หน้า เดอะมอลล์ บางกะปิ... พากันไปกินมื้อค่ำที่ศูนย์อาหารในห้างฯ(ตอนนั้นเธอสั่งราดหน้า ผมจำได้เลย) แล้วค่อยพากันแยกย้ายกลับบ้าน มันเกิดขึ้นมานานหลายเดือนแล้ว แต่ผมยังจำได้อยู่แทบทุกฉากเลย----------จนมากลางปีเราเริ่มมีปัญหาเรื่องงานครับ ทำยอดได้ไม่ค่อยดี เงินเดือนที่ได้น้อยลง เธอพยายามไต่ Tier เพื่อให้ได้เงินเดือนเยอะขึ้น ติดต่อลูกค้ามากขึ้น ผมก็พยายามช่วยเธอเท่าที่ผมจะสามารถทำได้ ลูกค้าคนไหนคอนเฟิร์ม ผมก็ส่งให้เธอไปเกือบทั้งหมด จากที่เคยเที่ยวเคยอะไรแทบทุกวัน เราลดทุกอย่างลง (ตอนนั้นผมได้ตัดสินใจไปอาศัยอยู่กับเธอที่หอพักแล้ว) ค่าใช้จ่ายต่างๆสวนทางกับเงินที่ได้ ผมกับเธอถึงกับต้องเอ่ยปากขอเงินพ่อแม่ของแต่ละคน เพราะช่วงนั้นมันอยู่ในช่วงขาลงจริงๆ เดือนต่อมายิ่งแย่กว่าเก่า ซึ่งไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทั้งๆที่เราสองคนพยายามแล้วแท้ๆ แต่ทำยังไงมันก็ไม่คุ้มกับเวลาทำงานที่เสียไป จนในที่สุดเราก็ตกลงว่าจะพากันลาออกครับ เพราะตอนนั้นเมื่อเงินไม่ได้ ทั้งกำลังใจ ทั้งพลังกาย ทั้งสมอง มันอ่อนล้าลงไปหมดแล้ว----------เธอต้องเรียนอีกประมาณสามปีจบ ส่วนผมอีกแค่ปีเดียว เธอเลยบอกกับผมว่า อยากให้ผมรีบกลับไปเรียนให้จบ ไม่ต้องมามัวทำงานแล้ว เพราะเธอกลัวผมเหนื่อย (ทำงานเข้าเก้าโมงเช้าเลิกห้าโมงเย็น แล้วไปเรียนต่อจนถึงสามทุ่ม) แต่ผมก็ยังอยากช่วย แต่เธอยืนกรานว่า ให้ผมกลับไปอยู่บ้าน รีบเรียนให้จบ ถ้าอยู่สองคนค่าใช้จ่ายมันจะสูง ยิ่งลาออกจากงานกันแล้วด้วย เธอก็ต้องได้ขอเงินพ่อแม่อีก ...เมื่อเธอตัดสินใจแบบนั้นผมก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากทำตามที่เธอต้องการ แต่ผมก็ยังไปมาหาสู่เธอตลอด นั่นคือวันไหนที่ผมมีเรียน ผมก็จะไปพักที่ห้องของเธอ โทรถามว่าอยากกินอะไรแล้วก็ซื้อจากหน้ารามฯเข้าไปให้ บอกตรงๆว่า จากที่เคยอยู่ด้วยกันมาแทบทุกวันไปไหนไปด้วยกัน กินข้าวพร้อมกัน นอนดูหนังด้วยกัน พอต้องมีระยะห่างกันแล้ว มันรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก ผมเป็นห่วงเธอมากๆ เพราะเธออยู่ตัวคนเดียว และสัปดาห์หนึ่ง ผมก็อยู่กับเธอได้แค่สามสี่วันเท่านั้นเอง ในช่วงที่คบกันมา เราทะเลาะกันบ้าง น้อยใจกันบ้าง โมโหใส่กันบ้าง แต่ทุกครั้งเราก็กลับมาคืนดีกันตลอด----------มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมกับเธอทะเลาะกันตอนประมาณเที่ยงคืน ตอนนั้นผมโมโหมากเลยเดินออกจากห้องเธอไป ซึ่งไม่รู้ว่าจะเดินไปไหน ผมเลยตัดสินใจเดินไปซีค่อนแล้วก็เดินกลับมา(ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าได้) พอกลับมาถึงห้องเธอโกรธผมมากเพราะเป็นห่วงผม ถึงกลับเอ่ยปาก "ขอเลิก" กับผมเลยทีเดียว แล้วผมก็สำนึกได้ ไม่ว่าใครจะผิดจะถูกไม่สำคัญ ไม่ว่าที่ผมโมโหเธอ หรือ เธอโมโหผม จะมีน้ำหนักความถูกต้องมากกว่า ผมไม่แคร์อะไรทั้งนั้น เพราะผมไม่อยากเสียเธอไป ผมร้องไห้เอาหัวจรดพื้น บอกกับเธอว่า "คำบางคำเราไม่ควรเอามาพูด ถ้าไม่ได้ตัดสินใจแล้วจริงๆ" แล้วผมกับเธอก็พากันร้องไห้ทั้งสองคน ผมรู้ตัวดีเลยว่ะ เธอรักผม และ ผมรักเธอคนนี้มากแค่ไหน ก่อนที่ทุกอย่างจะจบลงด้วยดี เราเข้าใจกันในที่สุด----------แล้วก็เหตุการณ์ใหญ่อีกเหตุการณ์หนึ่ง เป็นการทะเลาะกันที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ...เธอโกรธผมที่ผมไม่ได้ติดต่อไปหาเธอเวลาผมกลับมาบ้าน... ตอนนั้นผมมีเรียนวันจันทร์ถึงพุธ ผมเรียนเสร็จผมก็ไปหาเธอตามปกติ พักอยู่ที่นั่นถึงวันพุธ แล้วผมก็กลับบ้านตามปกติ ทุกอย่างปกติดี คุยกันยิ้มให้กันหัวเราะใส่กันเหมือนเดิม ดังคำที่ว่า"สงบเหมือนก่อนพายุจะมา"จริงๆ ผมกลับมาถึงบ้านวันพุธ ทักไลน์ไปบอกว่าถึงบ้านแล้วนะครับ ผมทำแบบนี้ทุกครั้งเวลาที่กลับมาถึงบ้าน และก็บอกให้เธอทำเช่นกันเพื่อที่จะได้คลายความเป็นห่วง จะได้รู้ว่าปลอดภัยดี วันพฤหัส ผมทักไลน์เธอไปแต่เธออ่านแล้วไม่ตอบ ตอนบ่ายผมก็ทักไปอีกแต่เธอก็อ่านแล้วไม่ตอบเหมือนเดิม ผมพิมพ์ไปห้าหกข้อความเธออ่านแล้วไม่ตอบเหมือนเดิมตลอด ตกเย็นผมก็ทักใหม่แต่ก็เหมือนเดิม เลยตัดสินใจโทรไป เสียงเธอรับเหมือนไม่อยากคุยพูดห้วนๆ แล้วก็บอกว่าเหนื่อยอยากพักผ่อน ผมก็เลยตัดสินใจไม่กวนเธอ ส่งไลน์ไปบอกแค่ว่า ฝันดี ตามปกติ วันศุกร์ วันที่มันไม่ได้สุขอย่างชื่อ ผมทักไลน์ไปช่วงสายเธออ่านแล้วไม่ตอบ(อีกแล้ว) ช่วงบ่ายโมงก็ทักไปอีกว่าทำไรอยู่ กินข้าวยัง ...เธออ่านแต่ไม่ตอบ ผมก็ไม่ได้เอะใจอะไรเพราะคิดว่าเธอคงทำงานอยู่(ตอนนี้เธอได้งานใหม่แล้ว ทำมาประมาณสัปดาห์หนึ่งได้) จนกระทั่งบ่ายสามเกือบสี่ เธอไลน์มาบอกผมว่า "วันนี้ไม่ค่อยสบายเลยไม่ได้ไปทำงานนะ ปวดหัวนิดหน่อย" เห็นข้อความดังนั้นผมเลยจัดการเคลียร์ธุระภารกิจทุกอย่างของผมให้หมดเลย ก่อนจะออกบ้านตอนหกโมงเย็นนั่งรถเมล์จากรามอินทราไปหาเธอที่อ่อนนุช ซึ่งประจวบเหมาะกับฝนดันตกหนักพอดี รถเลยติดชนิดที่ว่าค่อยๆพากันใช้ล้อคลานเลยทีเดียว ไปถึงแฮปปี้แลนด์ผมเหลือเงินในมือถืออยู่สิบบาทซึ่งตอนนั้นก็ทุ่มกว่าๆแล้ว ผมโทรไปหาเธอว่า "กินอะไรยังเธอ นี่อยู่แฮปปี้แลนด์แล้ว" เธอตอบกลับมาห้วนๆ "ยังไม่ได้กิน แล้วก็ไม่ต้องมานะ" ผมรู้เลยว่ามีอะไรผิดปกติแล้วแน่ๆ เลยตัดสินใจเดินไปซื้อขนมเม็ดขนุนฝอยทองที่เธอเคยบอกว่าอยากกินมากล่องหนึ่ง ก่อนจะจับรถเมล์แอร์ 207 มุ่งหน้าไปหาเธอ.................................................----------ระหว่างที่อยู่บนรถเมล์แอร์ 207 เพื่อนผมก็โทรมาชวนไปกินเลี้ยงสังสรรค์ต้อนรับเพื่อนเก่าที่เพิ่งกลับมาจากเรือ(มันจบจากพาณิชย์นาวี) ซึ่งเพื่อนผมที่โทรมามันพักอยู่แถวซีค่อนใกล้ๆกันนั่นแหละครับ (ว่าจะให้มันฝากงานให้อยู่จะได้ไปพักอยู่กับแฟนได้) แต่ผมก็บอกปฎิเสธไปแล้วบอกไปว่า "แฟนกูไม่สบายว่ะ ไว้วันหลังแล้วกัน" จนมันก็ต้องจำยอมแล้วก็วางสายไป สองทุ่มกว่าๆรถเมล์คลานมาจนถึงตลาดเอี่ยมสมบัติ ฝนก็ตกหนักแบบไม่ลืมหูลืมตา ผมลงจากรถแล้วก็เดินตากฝนข้ามสะพานลอยไปที่ฝั่งตรงข้าม เพื่อไปซื้อโจ๊กที่ร้านเยาวราชเข้าไปให้เธอ(ร้านเปิดใหม่ได้ไม่นาน) ตอนนั้นสำหรับผมแล้วฝนตกก็เหมือนไม่ตก ไม่ได้ต้องการเครดิตหรือคำชื่นชมใดๆ เพียงแค่อยากให้เขาได้กินอะไรอุ่นๆบ้างเท่านั้นเอง ทั้งเสื้อทั้งกางเกงทั้งเงินในกระเป๋ากางเกงเปียกหมดทุกอย่าง ถุงขนมฝอยทองก็ต้องมัดปากถุงไว้ มือถือที่อยู่ในกระเป๋าสะพายข้างผมก็ต้องเดินกอดไว้กับอกเพื่อไม่ให้น้ำมันไหลเข้า ซื้อเสร็จผมก็ข้ามถนนกลับไปยังฝั่งเดิมเพื่อมุ่งหน้าไปที่หอพักของแฟนผม----------ถึงหน้าปากซอยอ่อนนุช66 ผมแวะเข้าแฟมิลี่มาร์ทซื้อน้ำส้มกล่อง100%กับนมโฟร์โมสช๊อกโกแลตติดมือเพิ่มอีก ก่อนจะนั่งวินเข้าไปที่หอพักของแฟน ตอนเดินมาไม่เท่าไรหรอกครับ แต่พอโดนลมนี่สะท้านเลย มือปากสั่นไปหมด ถึงหน้าหอพักผมก็ใช้คีย์การ์ดเปิดประตูเข้าไป แล้วก็ขึ้นไปเคาะประตูห้องแฟนที่ชั้นสอง----------เธอเดินมาเปิดประตูให้โดยที่ไม่สบตาไม่ยิ้มไม่มองหน้าผมแม้แต่นิดเดียว ซึ่งผมก็พอรู้อยู่แล้วล่ะว่ามันต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ ผมก็ถอดรองเท้าเข้าไปในห้อง เอาของกินวาง แล้วก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอไม่ได้พูดอะไรกับผมเลยนะครับแม้แต่คำเดียว ที่เธอทำคือนั่งพับเสื้อผ้า"ของผม" ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงดี จับต้นชนปลายไม่ถูก ว่านี่มันเกิดบ้าบอคอแตกอะไรขึ้นกันแน่ เลยยืนพิงกำแพงยืนมองด้านหลังเธออยู่เงียบๆ สักพักเธอก็พูดขึ้นว่า "พี่ก้อนหิน(ใช้แทนชื่อเล่นผมไปแล้วกันไม่อยากเปิดเผยชื่อจริงๆครับ) เดี๋ยวหนูจะออกไปพักอยู่กับเพื่อนนะ" ผมได้ยินแบบนั้นก็ยังคงไม่พูดอะไร ยืนมองดูเงียบๆ หลังจากเธอพับเสื้อผ้ากางเกงของผมเรียบร้อยหมดแล้ว ก็จับยัดใส่กระเป๋าผ้าล้อลากที่เธอไม่ได้ใช้ ก่อนจะเดินมาหาผมแล้วก็บอก "พี่ก้อนหิน หนูขอยืมมือถือพี่หน่อย" ผมก็ยื่นให้ไปเพราะไม่อยากขัดใจอะไร อยากรู้ว่านี่มันเรื่องอะไรกันมากกว่า เธอเอาไปทำไมเหรอ? เธอเอาไปลบทุกอย่างในเครื่องผมออกหมดเลยน่ะสิครับ- รูปภาพของเธอที่ผมเก็บไว้ หรือ ภาพที่ถ่ายด้วยกัน- รูปภาพในเฟซบุ๊คที่ผมอัพไว้ และ รูปภาพที่ผมตั้งเป็น Cover ซึ่งถ่ายด้วยกัน- รูปภาพในไลน์ทั้งหมดทั้งมวล เพราะไลน์ผมใช้เป็นรูปผมกับแฟน- ข้อความแชทในไลน์ และ เฟซบุ๊ค- ประวัติการโทร ข้อมูลของเธอที่ผมบันทึกไว้พูดง่ายๆคือเกลี้ยงเลยครับ ผมเห็นดังนั้น(ตอนนั้นเธอกำลังไล่ลบอยู่)เลยไม่พอใจครับ เลยยื่นมือไปหยิบเอามือถือคืน แล้วก็บอกเธอไปว่า "ถ้าอยากให้ลบนัก เดี๋ยวลบให้เองก็ได้" เขาก็พยายามแย่งกลับแล้วก็บอกว่า "หนูลบเองสบายใจกว่า" เราสองคนยื้อยุดแย่งมือถือกันไปมา ผมก็เริ่มโมโหก็เริ่มใส่แรงดึงมากขึ้นเรื่อยๆ เธอก็ดึงแรงขึ้นเรื่อยๆ ความจริงแรงผู้ชายอย่างเรายังไงมันก็แย่งได้อยู่แล้วล่ะครับ แต่สุดท้ายผมก็จำยอมต้องปล่อยมือครับ เพราะผมหมดแล้วทุกอย่าง ความรู้สึกตอนนั้นคือ เค้าจะเลิกกับผมจริงๆเหรอ? ทำไมทำกันแบบนี้? เพราะอะไร? ผมทำผิดอะไรมากมายขนาดนั้นเลยเหรอ? พอได้มือถือผมไปเค้าก็เอาไปนั่งลบจนเกลี้ยงเลยครับ หมายถึงเกลี้ยงจริงๆอย่างที่ผมบอก รูปถ่ายความทรงจำดีๆทุกอย่างหายไปหมดเลยแค่ปลายนิ้วมือ พอลบเสร็จก็คืนมือถือให้ผม แล้วก็ไปนอนเล่นมือถืออยู่บนเตียง เปิดเกมเศรษฐีเล่นเสียงดังมั่ง ยิ้มให้กับแชทมั่ง บอกตรงๆว่าตอนนั้นผมทำอะไรไม่ถูกเลยครับ ทำได้แค่นั่งลงข้างๆเตียงมองดูเธอเงียบๆ น้ำตาไหลออกมาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ แต่ตอนนั้นคือเธอไม่สนใจอะไรผมเลย แล้วผมก็อั้นไว้ไม่ไหวจริงๆ ผมร้องไห้ออกมา ร้องหนักมาก ร้องอยู่แทบปลายเท้าเธอนั่นแหละครับ ผมร้องไปพักใหญ่ๆ พอเริ่มคุมสติได้แล้วก็ลุกไปเปลี่ยนชุดชุดเดิมที่ใส่มา เพราะผมคิดว่ายังไงทุกๆอย่างมันคงอวสานตรงนี้เวลานี้แล้ว ผมเดินไปที่กระเป๋าผ้าแบบลากเธอก็บอกผมให้เอาไปทั้งกระเป๋านั่นแหละ เพราะเธอไม่ได้ใช้แล้ว แล้วก็เอากระเป๋าไปทิ้งให้ด้วย----------ผมกลับมานั่งคุกเข่าลงข้างๆเตียงอีกครั้ง รวบรวมความคิดสติทั้งหมดก่อนจะถามเธอไปว่า "บอกให้รู้หน่อยได้มั้ยว่าฉันผิดอะไร?" เธอก็บอกกลับมาว่า "ไม่เคยจะรู้อะไรหรอกพี่ก้อนหิน" แล้วผมก็นั่งร้องไห้อีกรอบ พยายามจะกลั้นแล้วแต่เอาเข้าจริงๆ ผมทนไม่ไหวจริงๆ คือไม่เคยมีใครทำกับผมแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต มันเจ็บจนไม่รู้จะอธิบายยังไงแล้วครับ ผมนั่งนิ่งๆดูเธอไปอีกสักพักหนึ่ง ตอนนั้นก็เกือบจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว ผมลุกเดินดูตามตู้ก็เจอสมุดบัญชีตอนที่ผมกับเธอเคยทำงานที่เดียวกัน เลยหยิบออกมา เธอเห็นแบบนั้นเลยหยิบบัตรATMโยนคืนมาให้ผมด้วย (นอกเรื่องนิดนะครับ...คือบัตรATMกะสมุดบัญชีผมมาอยู่ที่เธอก็เพราะว่า ตอนทำงานที่เดียวกัน เธอจำรหัสATMตัวเองไม่ได้ บัตรเลยโดนยึดไปหรืออะไรซักอย่าง ผมเลยเสนอว่าให้เอาสมุดบัญชีของผมไปใช้ก่อน พอตอนเงินเดือนออกให้พี่ที่อยู่แผนกการเงินโอนเงินเข้าบัญชีผมทั้งสองคนไปเลยก็ได้ แล้วผมก็ยกให้เขาเอาไว้ใช้เลยเผื่อเวลาจำเป็น) ผมก็เลยรื้อของทั้งหมดที่เธอพับใส่กระเป๋าไว้ออกมา ทั้งหนังสือการ์ตูนที่ผมขนไปให้เธออ่าน ทั้งเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ที่โกนหนวดไฟฟ้า แม้แต่ปลั๊กไฟแล้วก็แบตสำรองที่ผมเอาไปไว้ให้ใช้ จับใส่ถุงพลาสติกใบใหญ่ๆให้หมด อะไรใส่ตรงไหนได้ก็ยัดๆใส่ไป เธอเดินไปหาถุงพลาสติกให้ผมด้วยนะครับ แล้วในที่สุดผมก็ได้ถุงพลาสติกเบ้อเริ่มสองถุง ก่อนหน้านี้ผมขอเธอว่า "มันดึกแล้วขอค้างที่นี่อีกสักคืนได้มั้ย นอนบนพื้นก็ได้ ครั้งสุดท้ายก็ยังดี" เธอไม่อนุญาตครับ แล้วขู่ว่าจะไปบอกน้าสาวห้องตรงข้ามด้วยถ้ายังไม่รีบไป เพราะเธอจะพักผ่อน ผมยื้อเวลาไปจนถึงเกือบๆตีหนึ่ง แล้วก็ตัดสินใจว่า "คงจบแบบนี้แล้วล่ะ" เลยตัดสินใจขนถุงสองใบมาวางไว้หน้าทางเข้าหอพัก แล้วก็ใช้คีย์การ์ดเปิดประตูทิ้งไว้ ก่อนจะเอาไปคืนเธอทั้งคีย์การ์ดทั้งกุญแจห้อง เพราะเธอขอคืนไม่งั้นจะโดนปรับ ก่อนออกจากห้องหลังเอาของไปคืน ตอนนั้นเธอปิดไฟในห้อง นอนเล่นมือถืออยู่ ผมก็เอามือไปลูบหัวเธอเบาๆ ทีแรกเธอเหมือนจะขยับหนีแต่สุดท้ายก็ยอมให้ลูบ แล้วผมก็พูดกับเธอว่า "ดูแลตัวเองดีๆนะแม่นะ อยากให้รู้ไว้ว่าไม่เคยไม่รักนะครับ" ผมน้ำตาไหลอีกรอบ แต่เธอคงไม่เห็นหรอกครับเพราะมันมืดมาก แล้วผมก็ปิดประตูห้องให้เธอก่อนจะเดินลงบันไดไป............................................................................



บทความแนะนำ


ก๋วยจั๊บ-ญวนมหาวิทยาลัยมหิดลผู้พิการทางสายตาตาบอดร้านอาหารร้านอาหารแนะนำกรุงเทพภาคกลางแนะนำที่กินแตงโมฝรั่งกระท้อนทรงผมทรงผมสั้นทรงผมประบ่าทรงผมถักเปียดูดวงดวงความรัก