7 วิธีให้แฟน "ยืมเงิน" แบบ "ไม่เสียแฟน"
' เงิน ' มักเป็นปัญหากับความสัมพันธ์เสมอ หากว่าเราใช้ไม่เป็น มันทำให้เราเสียเพื่อนได้ พี่น้องทะเลาะกันได้ อีกทั้งยังทำให้คู่รักมีปัญหากันได้ด้วยเช่นกัน
เพราะเราไม่รู้เลยว่ามนุษย์แต่ละคนมีความโลภมากน้อยเพียงใด
ถ้าโชคดีเราเจอคนที่ให้ยืมมีสำนึก เราก็ไม่เสียอะไรมาก
แต่ถ้าโชคร้ายเจอคนที่มีความโลภอยู่ในตัวอยู่แล้ว
สุดท้ายก็กลายเป็นว่าเราให้เท่าไหร่ก็ไม่พอ
แย่ไปกว่านั้นอาจต้องใช้หนี้แทนเขาก็ได้
คนเป็นแฟนกันมันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเกื้อกูลกัน
แต่ก็ใช่ว่าจะรักกันจนไม่มีขอบเขต โดยเฉพาะเรื่องเงินทอง
ถ้าไม่อยากให้ผิดใจกัน เลิกรากัน ก็ต้องมีลิมิตกันบ้าง
#1 ดูกำลังของตัวเองก่อนที่จะช่วยแฟน
สำรวจตัวเองก่อนที่จะไปช่วยเหลือใคร
ไม่เช่นนั้นจะเหมือนกับสถานการณ์ที่คนว่ายน้ำไม่แข็ง
แต่ไปช่วยคนอื่นแล้วจมทั้งคู่ ถ้ามีงบน้อย ลำพังตัวเองจะรอดแหล่ไม่รอดแหล่
อย่าเพิ่งเสียสละช่วยแฟนก่อน แต่ควรจะบอกไปตามตรงว่า " เราเองก็ลำบาก ยังเอาตัวไม่รอดเลย "
แต่ถ้ามีเงินจริงๆ
ก็ต้องคำนวณให้รอบด้านด้วยว่า ในขณะนี้และอนาคต ( เช่น ในอีก 1-2
วันข้างหน้า ในอีกสัปดาห์หน้า ) เรามีรายจ่ายอะไรอีกบ้าง?
แล้วเมื่อไหร่จะได้เงินอีก? เพราะมิเช่นนั้น ช่วยกันไปกันมา
ก็อาจจะพากันอดได้ทั้งคู่ ถ้าคิดจะช่วย ย้ำอีกทีว่าคำนวณให้ดี
จัดสรรปันส่วนให้ดีนะจ๊ะ
#2 ควรจะช่วยในแบบ " เจียดเงิน " อย่าเป็นแม่พระ " เงินเปย์ เทหมดหน้าตัก "
ควรจะช่วยนิดๆ
หน่อยๆ สักประมาณ 5-15% ของเงินที่เรามี อย่าให้แบบทุ่มมากๆ โดยหวังลึกๆ
ว่ายิ่งมากเท่าไหร่ เขายิ่งรักเรามากเท่านั้น No! No! No!
อย่าส่งเสริมให้แฟนเป็นคนใช้เงินมือเติบจ้ะ เราก็ต้องกินต้องใช้
ไม่ใช่ตู้เอทีเอ็มเคลื่อนที่ของแฟนตลอดเวลา
#3 คำนึงถึงเหตุผลของแฟนด้วย
พิจารณาให้ดีว่าแฟนมายืมเงินเรานั้นมีเหตุผลสำคัญอะไร
ถ้ายืมไปเพื่อซื้อของเล่นๆ หรือค่าใช้จ่ายที่ไร้สาระ อย่าให้เด็ดขาด
ถ้าเขาอยากได้มากๆ ควรหาโอกาสซื้อมาเซอร์ไพรส์ทีหลังจะดีกว่า
แต่ถ้าสิ่งนั้นมันเร่งด่วนมากๆ เช่น ค่าหนังสือ, ค่าอุปกรณ์ทำงาน
ก็สนับสนุนไปเท่าที่จะทำได้
อย่าทำร้ายความรักของกันและกัน ด้วยการสนับสนุนให้เอาความรักมาปนกับเงินจนสปอยล์กันทุกเรื่องแบบขาดความยั้งคิด
ความสัมพันธ์ที่ฝ่ายหนึ่งให้มาตลอด และอีกฝ่ายก็ขอมาเรื่อยๆ
ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับอนาคตแน่นอน รักแฟนจริง ต้องพากันแยกแยะความจริงให้ได้ :)
#4 หลีกเลี่ยงการให้ยืมในลักษณะ " ภาระในระยะยาว "
เพราะแม้แต่อนาคตในเรื่องความรักยังไม่แน่นอน
ตอนนี้รักกันดี ตอนหลังอาจเลิกกันก็ได้
จึงต้องระวังเรื่องเงินทองเป็นพิเศษ
โดยเฉพาะการให้ยืมในลักษณะที่จะเป็นภาระในระยะยาว เช่น
การที่เราควักจ่ายเป็นเงินก้อนบางอย่างแทนแฟน แล้วต้องขัดสนในระยะยาว,
การออกตัวชำระเงินดาวน์-เงินผ่อนแทนแฟน ยังย้ำคำเดิมค่ะว่า " เอาตัวเองให้รอดก่อน ค่อยช่วยคนอื่น " อย่าใจป้ำจนลืมประเมินสถานะการเงินของตัวเอง
#5 ถ้าคิดจะช่วย ต้องปล่อยวางความคาดหวังได้ประมาณหนึ่ง
เพื่อความสบายใจที่สุดในอนาคต
ควรแยกประเด็นการช่วยเหลือออกจากเรื่องความรัก
อย่าช่วยโดยคาดหวังว่าเขาจะช่วยเราตอบ
แต่ควรช่วยเพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนมนุษย์คนนึงที่ไม่อาจเฉยกับความเดือดร้อนได้
และเมื่อช่วยเหลือแล้ว ก็ปล่อยวางใจให้สบายๆ ทวงเงินกันทวงได้
แต่อย่ามากมายจนทำให้ต่างฝ่ายต่างรำคาญ ( พูดเหมือนง่าย แต่ทำยาก
เข้าใจค่ะคนรักกันก็ต้องสนันสนุนกัน แต่อยากให้ช่วยแบบมีสติกันเนาะ )
#6 อย่าดึงบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง
ลำพังแค่การช่วยเหลือกันระหว่างคนสองคน
ก็ยากลำบากใจในการทวงกันแล้ว อย่าดึงคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องเด็ดขาด เช่น
เงินเราไม่พอ ก็ไปยืมเพื่อนหรือคนในครอบครัวมาใช้ก่อน
ยิ่งมีเรื่องการปิดบังโกหก เพื่อไม่ให้ใครมาว่า ว่าเอาเงินไปช่วยแฟน
ยิ่งไม่ควรทำ เพราะสิ่งที่ทำให้เรื่องต่างๆ มันอิรุงตุงนังมากๆ คือ " การโกหก "
#7 อย่าอายที่จะทวงเงินกัน
ฟังดูย้อนแย้งกับข้อก่อนๆ
ใช่มั้ยคะที่บอกว่าให้ช่วยแบบปล่อยวาง ใจเย็นๆ ก่อนค่ะ
ที่พูดนี่หมายถึงว่า ถ้าเราเข้าตาจนจริงๆ
ถึงคราวเดือดร้อนบ้างและคิดว่าแฟนก็น่าจะมีเงิน
อย่าอายหรือเกรงใจที่จะเอ่ยปากทวง
เพราะเราก็ยังไม่ได้แต่งงานใช้กระเป๋าเงินเดียวกัน อยู่บ้านเดียวกัน
มันก็ต้องมีผลัดกันทุกข์สุขกันบ้าง
และอีกเหตุผลหนึ่งที่ควรทำการทวงเงินก็คือ เพื่อเป็นการเบรคกันนิ่มๆ ไม่ให้หลงระเริงเอะอะก็ขอแฟนไว้ก่อน ว่า " ต่อให้ฉันเป็นแฟนเธอ ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นตู้กดเงินของเธอง่ายๆ นะ จ่ายมาซะดีๆ ฉันเดือดร้อน "เงินทองเป็นของนอกกาย
ไม่ตายก็หาใหม่ได้ แต่ความสัมพันธ์กว่าจะเจอคนดีๆ คลิกกัน หายากมากๆ
คิดให้ดีก่อนตัดสินใจช่วยเหลือกัน รักษาระยะห่าง
แยกแยะความจริงกันให้ได้นะคะ