เขาชอบเรามากกว่าที่เราคิด แต่เขาไม่แสดงออกชัดๆ หรอก
คือเราเดทกับคนๆ นี้มาสักพัก
เขาดูสงวนท่าทีไม่แสดงออกชัดเจน และไม่มีคำพูดอะไรมายืนยัน
เราเองก็ยังไม่กล้าถามออกไปตรงๆ เพราะกลัวจะหงายเงิบ เหมือนจะเป็นเพื่อนกัน
แต่มันก็ไม่ใช่หรอก โอ๊ย! หงุดหงิด ถามเลยให้รู้ไปดีกว่าเดี๋ยว! เราขอยกมือค้าน ถ้าคิดจะทำอะไรหุนหันพลันแล่น
ความชัดเจนบางครั้งก็ต้องการจังหวะที่ดีเหมือนกัน
เราเข้าใจนะว่าสาวๆ (หรือหนุ่มๆ ที่มาแอบอ่าน) เป็นคนชัดเจน
ไม่ชอบอะไรคลุมเครือ แต่จะขวานผ่าซากก็ไม่ใช่ปะะะ
ดูท่าทางของเขาบางอย่างก่อน
มันมีนะคนที่ส่งสัญญาณแบบนี้โดยที่ตัวเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน
เอาเป็นว่าถ้าเขาทำแบบนี้ก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นไปได้มากๆ เลยล่ะเริ่มเลียนแบบพฤติกรรม
มีงานวิจัยบอกมาว่า
เวลาที่คนเราอยู่ด้วยกันมากๆ
เป็นธรรมชาติเลยล่ะที่จะเริ่มเลียนแบบพฤติกรรมกัน
เริ่มซึมซับนิสัยของกันและกันมา หัวเราะในเรื่องเดียวกัน
ก๊อปคำพูดกันรวมถึงท่าทางด้วย แต่!
ถ้าเราไม่ชอบใครเราจะอยู่ใกล้เขาทำไมจริงมั๊ย
พอเราเห็นท่าทางบางอย่างของคนที่เราไม่ชอบ เราจะไม่เลียนแบบหรอก
เราจะอคติขึ้นมาทันที ในทางตรงข้าม ลองสังเกตดูว่า เขาเริ่มพูดคำคล้ายๆ เรา ทำท่าทางบางอย่างคล้ายๆ เรารึเปล่านะ ถ้าใช่ก็ได้ขยับเข้ามาใกล้กันอีกนิดแล้วเท้าเขามักจะหันมาทางเราเสมอ
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานวิจัยเช่นกัน ว่าเวลาเราชอบใครเรามักจะชี้ปลายเท้าไปทางเขาเสมอ ประมาณว่าหันเปิดตัวเองไปทางเขา เพราะเราอยากอยู่ใกล้ๆ ไง
หาเรื่องสัมผัส
อยู่ใกล้คนที่ชอบนอกจากจะเริ่มทำตาม เริ่มเปิดตัวเข้าหาเขา เราจะอยากเข้าไปใกล้ชิดสนิทสนมมากกว่าคนอื่นทั่วไป
ถ้าเราเป็นแฟนกันแน่นอนเราจะนั่งจับมือกันตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำอะไร
ซึ่งบางคู่อาจจะเป็นในช่วงแรกๆ ก็นั่นแหละคนที่เพิ่งชอบกัน
จะต้องอยากแตะมือสักนิดนักหน่อย เช่นเล่นเกมส์ที่ต้องใช้สัมผัส
หรือไม่ก็ยืนให้ใกล้ที่สุดเท่าที่จะทำได้ขำทุกเรื่องที่ไม่ตลก
ถ้ามีคนเคยบอกว่า เราเป็นคนที่เล่นตลกได้เห่ยที่สุด แต่เขายังช่วยขำ เขาไม่ได้สงสารไม่ต้องตกใจ แต่เขาอยากเอาใจเรานั่นแหละ
ลองคิดถึงคนที่เราชอบดูนะ เขาขำอะไรก็ไม่รู้ในเรื่องที่เราไม่ขำเลย
เราจะไม่พูดว่า ?ไม่เห็นขำเลย ไร้สาระจัง?
แต่ถ้าเราทำได้เราจะขำออกมาอย่างธรรมชาติที่สุด
ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าเฟคก็ตาม สมองเราจะพยายามสั่งแล้วว่าที่ตลกไม่ใช่เรื่องตลกหรอก เขาต่างหากที่ ?ตลกดี? #กลายเป็นน่ารักซะงั้นไปในที่ๆ คิดว่าเราจะไป
บางทีก็แปลกใจทำไมเราเจอคนๆ นี้บ่อยจัง ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนก็ไม่ค่อยได้เจอเลย ก็เขาพยายามมาปรากฎตัวใกล้ๆ เรายังไงล่ะ
เราว่าความพยายามอะไรแบบนี้มันน่ารักมากเลยนะ
เพราะเขาเองก็คงไม่แน่ใจว่าจะได้เจอกัน
คือไม่ใช่ถึงขั้นจะต้องมาอยู่ตรงหน้าในระยะประชิด ช่วงแรกๆ
ก็แค่อยากจะผ่านๆ ให้เห็นว่า ฉันมานะ ฉันอยู่นี่ ?จำหน้าฉันไว้
อะไรประมาณนี้กำลังดีเลยตั้งคำถามปลายเปิด
ที่ถามไม่ใช่เพราะมารยาท
แต่เพราะอยากรู้เรื่องของคนๆ นี้ให้มากขึ้น คำถาม ใช่ หรือ ไม่
นี่ตัดออกไปเลยเพราะมันสานต่ออะไรไม่ได้ แต่คำว่า ?ทำไม? นี่สำคัญ คนที่เปิดโอกาสให้เราได้แสดงความคิดออกมานั่นแปลว่าเขาอยากจะรู้จักความเป็นเราให้มากขึ้นจริงๆจำเรื่องสำคัญ
สาวๆ
(และหนุ่มๆ) หลายคนไม่ได้ให้ความสำคัญกับวันสำคัญ เท่ากับเรื่องสำคัญหรอก
ซึ่งเรื่องสำคัญมันมักจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะเรื่องใหญ่ใครก็จำได้
วันครบรอบของหลายๆ คนก็ระบุกันไม่ได้ว่าวันไหน
แต่วันเกิดนี่เขาควรจะจำได้นะ
หรือเช่นแพลนในอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้นเขาพอจะรู้ระยะเวลาช่วงไหนและจำมันได้แบบไม่ต้องให้เตือน
เราว่ามันคือความใส่ใจ ถ้าเราใส่ใจใครเราก็จะจำไปอัตโนมัติไม่กล้าสบตา
ความจริงแล้วคนไม่ยอมสบตามีอยู่สองแบบ
คนโกหก กับ คนขี้อาย
ในกรณีที่เรายังไม่ได้ไปสืบทราบมาว่าเขามีบางอย่างปิดบังให้ทำใจให้สบายไปก่อน
เขาอาจจะขี้เขิน เหมือนกับข้ออื่นๆ ที่ให้สังเกตดูที่ตัวเราสิ คนที่เราชอบเราจะไม่กล้าสบตาเลย เราเคยนะไปเดทกับผู้ชายกี่คนๆ เขาก็บอกว่า ทำไมเธอชอบหลบตา ไม่ยอมสบตาเลย ?ก็เขินไงเล่า!!! จะอะไรซะอีกหาเรื่องมาเจอ
นี่เป็นเรื่องเล็กจิ๊บจ๊อยที่มีความหมายมากมายมหาศาล
ถ้าเขาพยายามหาเรื่องมาเจอ ไปกินกาแฟกันมั๊ย อาหารร้านนั้นอร่อยนะ
ตรงนั้นมีงานเธออยากไปมั๊ย
อะไรแบบนี้เขาอยากมีเราเป็นส่วนร่วมในกิจกรรมนั้นๆ ด้วยนั่นแหละ และเราจะค่อยๆ รู้จักกันมากขึ้นผ่านกาลเวลาหลายๆ อย่าง ถ้าเขายังชอบเราอยู่ และเรายังชอบเขาอยุ่ ทุกอย่างก็จะดำเนินต่อไปเรื่อยๆจะบอกให้ว่าไม่มีคู่ไหน ที่ใช้คำว่า เรารู้จักกันมากพอแล้ว หรือ ไม่มีเรื่องไหนที่ไม่รู้ เพราะคนเราทุกคนเรียนรู้กันตลอดชีวิต ทุกวันมีเรื่องใหม่ๆ เสมอ มันเล็กๆ น้อยๆ แต่ถ้ายังมีความรักความชอบกันอยู่ เราอยากจะเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ของคนๆ นั้นเสมอแหละ