เช็คให้ชัวร์ว่าอยากมี "ผัว" หรือเป็นแค่ "แฟน"

อ่าน 9,915

สาวๆ

หลายคนที่คบกับหวานใจมานานปีอาจจะมีบางโมเมนท์ที่คนรอบตัวถามว่า "เห้ยแก!

เมื่อไหร่จะแต่งงานซะที?" แหม?แบบนี้ก็ตอบไม่ถูกเนอะ

เพราะสถานะแฟนตอนนี้ก็มีความสุขดี

แต่บางครั้งในใจก็อยากขยับความสัมพันธ์ให้มันมากขึ้นไปอีกขั้น เอ้า!

สับสนกับตัวเองไปอีกว่าอยากจะให้เขาเป็นแค่ "แฟน" หรืออยากเปลี่ยนให้เขาเป็น "ผัว" คราวนี้ไม่ต้องปรึกษาใคร ถามใจตัวเองก่อนดีกว่าว่า อยากจะขยับสถานะและพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้หรือไม่?

1. "สามี-ภรรยา" กับ "แฟน" ไม่เหมือนกัน!

สามคำนี้มีความรักเป็นตัวตั้งเหมือนกันแต่ว่าต่างกันมากมาย

เพราะในขณะที่คุณอยู่ในสถานะแฟน การใช้ชีวิตยังเป็นแบบชีวิตใครชีวิตมัน

นึกจะโกรธกัน ทะเลาะกัน แล้วหันหลังให้กันก็ย่อมได้

แต่เมื่อไหร่ที่คุณอยู่ในสถานะสามี-ภรรยา

นั่นหมายความว่าคุณทั้งคู่คือส่วนหนึ่งของกันและกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน

มีปัญหาต้องช่วยกันแก้ไข ทะเลาะกันก็ต้องหันหน้ามาปรับความเข้าใจ

ไม่สามารถหันหลังแล้วทางใครทางมันได้ง่ายๆ เหมือนตอนเป็นแฟนแล้วนะ

2. ความรับผิดชอบที่มากขึ้นกว่าเดิม!

ตอนเป็นแฟนก็รับผิดชอบตัวเองไป ต่างคนต่างอยู่คนละบ้าน

เวลามีปัญหาที่อยากเก็บไว้คนเดียวจะคิดว่าเรื่องของฉันเรื่องของเธอไม่เกี่ยวกันก็ย่อมได้

อยู่คนเดียวจะถอดเสื้อผ้าวางไว้ตรงไหนก็ไม่ต้องเกรงใจใคร

กินแล้ววางจานทิ้งไว้ก็สักสามวันไม่มีใครว่า แต่! แต่! แต่!

เมื่อคุณแต่งงานแล้วต้องมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในบ้านหลังเดียวกัน

ความรับผิดชอบระหว่างกันจะต้องมีมากขึ้นจะมา

ถอดเสื้อผ้าทิ้งไว้แบบที่เคยทำไม่ได้แล้ว

ถ้วยโถโอชามต้องเก็บล้างให้เป็นระเบียบ

ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ฝ่ายหญิงที่ต้องปรับนะคะ ฝ่ายชายก็เช่นกัน

เพราะฉะนั้นถามใจตัวเองสิว่าพร้อมจะรับผิดชอบสิ่งต่างๆ

ที่ต้องเปลี่ยนไปนี้ไหม?

3. พร้อมจะดูแลอีกคนหนึ่งหรือไม่?

ใครที่บอกว่าตอนเป็นแฟนกันฉันก็ดูแลเขานะ

เวลาที่เขาเจ็บป่วยหรือไม่สบายฉันก็ยังหาหยูกหายาให้

อย่างนี้เรียกว่าดูแลกายค่ะ แต่ถ้าคุณคิดจะแต่งงานแค่ดูแลกายคงไม่พอ

ต้องดูแลใจ ดูแลชีวิตและความเป็นอยู่ของเขาด้วย ทั้งในเรื่องอาหารการกิน

เสื้อผ้า และการใช้ชีวิตในแง่อื่นๆ

ไม่ได้หมายถึงการไปเป็นคนรับใช้ของเขานะคะ

แต่ฮีบินหมายถึงการดูแลและเอาใจใส่ในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของกันและกัน

แน่นอนว่าจะต้องเยอะกว่าตอนเป็นแฟนกัน

แต่นั่นก็อยู่ที่คุณว่าพร้อมจะยุ่งยากเพื่อขยับความสัมพันธ์หรือเปล่า?

4. แชร์กันในทุกๆ เรื่องราว

บางครั้งคุณอาจจะมีเรื่องราวที่ไม่อยากบอกกล่าวให้เขาได้รู้

เรื่องไหนไม่ยากเล่าก็ไม่เล่า ถ้าคุณเป็นแฟนกันจะทำแบบนี้ต่อไปก็ยังได้

เพราะถือว่ายังไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกัน แต่เมื่อไหร่ที่คุณแต่งงานไปแล้ว

เรื่องของคุณก็คือเรื่องของเขา ปัญหาของเขาคุณก็ควรจะรับรู้

ไม่ว่าจะเรื่องสุขหรือเรื่องทุกข์ก็ต้องรับรู้ร่วมกัน

ดังนั้นคุณลองคิดใคร่ครวญดูสิว่า พร้อมไหมที่จะรับฟังทุกๆ

เรื่องราวความรู้สึกของเขา และพร้อมไหมที่จะแบ่งปันเรื่องของคุณให้เขาฟัง

5. เป็นหลังบ้านที่ดี

การเป็นหลังบ้านที่ดีไม่ได้หมายความว่าต้องลาออกจากงานที่รักมาเป็นแม่บ้านแม่เรือนตามแบบฉบับหญิงไทยสมัยก่อนนะคะ

แต่หมายถึง การสนับสนุนหน้าที่การงานของสามี

แน่นอนว่าตอนเป็นแฟนคุณอาจไม่จำเป็นต้องออกไปสังสรรค์กับสังคมเพื่อนทำงานของเขา

(ประมาณว่าไม่ชอบก็ไม่ไป) แต่ถ้าหากคุณแต่งงานไปแล้ว

บ่อยครั้งที่ต้องออกงานคู่กันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ยกตัวอย่างให้เห็นแบบชัดๆ

คือ เหล่าภริยานายทหาร ตำรวจ หรือคุณนายผู้ว่าไปยันคุณนายกำนัน

มีงานราษฏร์งานหลวงที่ไหนต้องไปอย่าได้ขาด

แบบนี้คุณจะทำได้ไหมถามใจตัวเองดู!

6. มากกว่าคนรัก คือ ครอบครัวของเขา

ตอนเป็นแฟนกันคุณอาจจะไม่ได้สนิทหรือรู้จักกับคนในครอบครัวของเขาทุกคน

รวมถึงครอบครัวเราเขาก็ไม่ได้คุ้นเคยมากนัก

เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดาในสถานะแฟน

ไม่ต้องลงลึกกับครอบครัวฝ่ายตรงข้ามก็ได้

ต่างคนก็ต่างดูแลครอบครัวของตัวเองไป

แต่เมื่อไหร่ที่ตัดสินใจจะแต่งงานจงรู้ไว้ว่า ?ครอบครัวคุณก็คือครอบครัวเขา

และครอบครัวเขาก็คือครอบครัวคุณ?

เพราะฉะนั้นจากที่เคยดูแลแค่พ่อแม่ปู่ย่าตายายของตัวเอง

คุณก็ต้องเข้าไปทำความสนิทสนม ฝากเนื้อฝากตัว

ดูแลพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ฝ่ายสามีด้วย ใครที่คิดว่าเยอะไปไหม

ฉันทำไม่ไหวหรอก แบบนี้คุณคงยังไม่พร้อมจะมีสามีแน่นอน

เป็นแฟนกันต่อไปเถอะ!

7. ค่าใช้จ่ายของสองเรา

เรื่องเงินทองนับเป็นเรื่องสำคัญอีกหนึ่งเรื่องระหว่างคนรัก

เวลาที่ออกไปเที่ยวหรือไปทานข้าวตอนเป็นแฟนกันก็อาจจะจ่ายใครจ่ายมัน

แยกกระเป๋าสตางค์กันชัดเจน

แต่เมื่อเป็นสามีภรรยากันแล้วจะถือคติเงินใครเงินมันแบบเดิมคงจะลำบาก

เพราะจะมีค่าใช้จ่ายส่วนกลางระหว่างคุณสองคนที่ต้องแชร์กัน เช่น ค่าบ้าน

ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าอื่นๆ อีกจิปาถะ

เพราะฉะนั้นการวางแผนการใช้เงินก็ควรจะรอบคอบมากขึ้น

ไม่ใช่ว่าอยากจะซื้ออะไรก็ซื้อได้เหมือนตอนเป็นแฟนกันนะ

รวมถึงเรื่องหนี้สินของแต่ละฝ่ายด้วย

คิดไตร่ตรองให้ดีนะคะว่าเมื่อแต่งงานไปแล้วคุณจะต้องเข้าไปช่วยรับผิดชอบหนี้สินส่วนนั้นด้วยหรือไม่

ถ้าไม่อยากใช้หนี้ที่ตัวเองไม่ได้ก่อก็อย่าเพิ่งแต่งงานแล้วกัน!

8. อย่าลืมคิดเรื่องลูกด้วยล่ะ

ฝ่ายชายบางคนที่อยากมีลูกก็มักจะยื่นคำขอปั๊มลูกทันทีที่แต่งงาน

นี่แหละค่ะเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เหล่าสาวๆ

ตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ในสถานะแฟนและยังไม่ยอมเซย์เยสแต่งงานซะที

เพราะการอุ้มท้องทารกหนึ่งคนก็ส่งผลต่อชีวิตในหลายๆ ด้าน

ใครที่คิดแบบนี้อยู่ฮีบินขอฟันธงเลยว่าคุณยังไม่พร้อมจะแต่งงานแน่นอน

เป็นแฟนกันต่อไปซะเถอะ แต่เมื่อไหร่ที่คุณทั้งสองคนมีความเห็นพ้องต้องกัน

เช่น ไม่อยากมีลูกทั้งคู่ หรือ อยากมีลูกด้วยกันเร็วๆ

แบบนี้ก็เตรียมเปลี่ยนสถานะจากนางสาวเป็นนาง

พวงสถานะว่าที่คุณแม่ไปเลยก็ได้นะคะ

ข้อดีของสถานะแฟนก็คือ คุณและเขายังคงมีพื้นที่ส่วนตัวของกันและกันอยู่

แต่ในขณะเดียวกันความสัมพันธ์ก็ยังเปราะบาง

เพราะจะตัดสินใจเดินจากกันไปเมื่อไหร่ก็ได้

แต่สถานะของสามีภรรยามันจะทำให้ความสัมพันธ์ของคุณมั่นคงมากขึ้น

สายใยรักเข้มแข็งขึ้นตามสถานะที่เปลี่ยน

เป็นครอบครัวที่ประคับประคองกันได้ดีกว่าเดิม

แต่ทั้งหมดนี้ก็แลกมาด้วยพื้นที่ส่วนตัวที่ลดน้อยลงและหน้าที่ความรับผิดชอบที่มากขึ้นกว่าตอนเป็นแฟน

ลองถามตัวเองดูสิว่า คุณสบายใจที่จะอยู่ในสถานะไหน

แล้วคุณก็จะได้คำตอบว่าผู้ชายที่คบอยู่นั้น คุณจะให้เขาเป็นแค่ "แฟน"

หรือพร้อมจะให้เขามาเป็น "สามี" ของคุณ

เรื่อง : JeenHuiBin

ภาพ :www.pexels.com/



บทความแนะนำ


ความสวยความงามลลนาเจี๊ยบครึ่งหัวใจเพลงผู้หญิงใบหน้าวงบิ๊กฟุตทรงผมทรงผมสั้นทรงผมประบ่าทรงผมถักเปียดูดวงดวงความรัก