เช็คให้ชัวร์ว่าอยากมี "ผัว" หรือเป็นแค่ "แฟน"
สาวๆ
หลายคนที่คบกับหวานใจมานานปีอาจจะมีบางโมเมนท์ที่คนรอบตัวถามว่า "เห้ยแก!
เมื่อไหร่จะแต่งงานซะที?" แหม?แบบนี้ก็ตอบไม่ถูกเนอะ
เพราะสถานะแฟนตอนนี้ก็มีความสุขดี
แต่บางครั้งในใจก็อยากขยับความสัมพันธ์ให้มันมากขึ้นไปอีกขั้น เอ้า!
สับสนกับตัวเองไปอีกว่าอยากจะให้เขาเป็นแค่ "แฟน" หรืออยากเปลี่ยนให้เขาเป็น "ผัว" คราวนี้ไม่ต้องปรึกษาใคร ถามใจตัวเองก่อนดีกว่าว่า อยากจะขยับสถานะและพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้หรือไม่?
1. "สามี-ภรรยา" กับ "แฟน" ไม่เหมือนกัน!
สามคำนี้มีความรักเป็นตัวตั้งเหมือนกันแต่ว่าต่างกันมากมาย
เพราะในขณะที่คุณอยู่ในสถานะแฟน การใช้ชีวิตยังเป็นแบบชีวิตใครชีวิตมัน
นึกจะโกรธกัน ทะเลาะกัน แล้วหันหลังให้กันก็ย่อมได้
แต่เมื่อไหร่ที่คุณอยู่ในสถานะสามี-ภรรยา
นั่นหมายความว่าคุณทั้งคู่คือส่วนหนึ่งของกันและกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน
มีปัญหาต้องช่วยกันแก้ไข ทะเลาะกันก็ต้องหันหน้ามาปรับความเข้าใจ
ไม่สามารถหันหลังแล้วทางใครทางมันได้ง่ายๆ เหมือนตอนเป็นแฟนแล้วนะ2. ความรับผิดชอบที่มากขึ้นกว่าเดิม!
ตอนเป็นแฟนก็รับผิดชอบตัวเองไป ต่างคนต่างอยู่คนละบ้าน
เวลามีปัญหาที่อยากเก็บไว้คนเดียวจะคิดว่าเรื่องของฉันเรื่องของเธอไม่เกี่ยวกันก็ย่อมได้
อยู่คนเดียวจะถอดเสื้อผ้าวางไว้ตรงไหนก็ไม่ต้องเกรงใจใคร
กินแล้ววางจานทิ้งไว้ก็สักสามวันไม่มีใครว่า แต่! แต่! แต่!
เมื่อคุณแต่งงานแล้วต้องมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในบ้านหลังเดียวกัน
ความรับผิดชอบระหว่างกันจะต้องมีมากขึ้นจะมา
ถอดเสื้อผ้าทิ้งไว้แบบที่เคยทำไม่ได้แล้ว
ถ้วยโถโอชามต้องเก็บล้างให้เป็นระเบียบ
ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ฝ่ายหญิงที่ต้องปรับนะคะ ฝ่ายชายก็เช่นกัน
เพราะฉะนั้นถามใจตัวเองสิว่าพร้อมจะรับผิดชอบสิ่งต่างๆ
ที่ต้องเปลี่ยนไปนี้ไหม?3. พร้อมจะดูแลอีกคนหนึ่งหรือไม่?
ใครที่บอกว่าตอนเป็นแฟนกันฉันก็ดูแลเขานะ
เวลาที่เขาเจ็บป่วยหรือไม่สบายฉันก็ยังหาหยูกหายาให้
อย่างนี้เรียกว่าดูแลกายค่ะ แต่ถ้าคุณคิดจะแต่งงานแค่ดูแลกายคงไม่พอ
ต้องดูแลใจ ดูแลชีวิตและความเป็นอยู่ของเขาด้วย ทั้งในเรื่องอาหารการกิน
เสื้อผ้า และการใช้ชีวิตในแง่อื่นๆ
ไม่ได้หมายถึงการไปเป็นคนรับใช้ของเขานะคะ
แต่ฮีบินหมายถึงการดูแลและเอาใจใส่ในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของกันและกัน
แน่นอนว่าจะต้องเยอะกว่าตอนเป็นแฟนกัน
แต่นั่นก็อยู่ที่คุณว่าพร้อมจะยุ่งยากเพื่อขยับความสัมพันธ์หรือเปล่า?4. แชร์กันในทุกๆ เรื่องราว
บางครั้งคุณอาจจะมีเรื่องราวที่ไม่อยากบอกกล่าวให้เขาได้รู้
เรื่องไหนไม่ยากเล่าก็ไม่เล่า ถ้าคุณเป็นแฟนกันจะทำแบบนี้ต่อไปก็ยังได้
เพราะถือว่ายังไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกัน แต่เมื่อไหร่ที่คุณแต่งงานไปแล้ว
เรื่องของคุณก็คือเรื่องของเขา ปัญหาของเขาคุณก็ควรจะรับรู้
ไม่ว่าจะเรื่องสุขหรือเรื่องทุกข์ก็ต้องรับรู้ร่วมกัน
ดังนั้นคุณลองคิดใคร่ครวญดูสิว่า พร้อมไหมที่จะรับฟังทุกๆ
เรื่องราวความรู้สึกของเขา และพร้อมไหมที่จะแบ่งปันเรื่องของคุณให้เขาฟัง5. เป็นหลังบ้านที่ดี
การเป็นหลังบ้านที่ดีไม่ได้หมายความว่าต้องลาออกจากงานที่รักมาเป็นแม่บ้านแม่เรือนตามแบบฉบับหญิงไทยสมัยก่อนนะคะ
แต่หมายถึง การสนับสนุนหน้าที่การงานของสามี
แน่นอนว่าตอนเป็นแฟนคุณอาจไม่จำเป็นต้องออกไปสังสรรค์กับสังคมเพื่อนทำงานของเขา
(ประมาณว่าไม่ชอบก็ไม่ไป) แต่ถ้าหากคุณแต่งงานไปแล้ว
บ่อยครั้งที่ต้องออกงานคู่กันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ยกตัวอย่างให้เห็นแบบชัดๆ
คือ เหล่าภริยานายทหาร ตำรวจ หรือคุณนายผู้ว่าไปยันคุณนายกำนัน
มีงานราษฏร์งานหลวงที่ไหนต้องไปอย่าได้ขาด
แบบนี้คุณจะทำได้ไหมถามใจตัวเองดู!6. มากกว่าคนรัก คือ ครอบครัวของเขา
ตอนเป็นแฟนกันคุณอาจจะไม่ได้สนิทหรือรู้จักกับคนในครอบครัวของเขาทุกคน
รวมถึงครอบครัวเราเขาก็ไม่ได้คุ้นเคยมากนัก
เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดาในสถานะแฟน
ไม่ต้องลงลึกกับครอบครัวฝ่ายตรงข้ามก็ได้
ต่างคนก็ต่างดูแลครอบครัวของตัวเองไป
แต่เมื่อไหร่ที่ตัดสินใจจะแต่งงานจงรู้ไว้ว่า ?ครอบครัวคุณก็คือครอบครัวเขา
และครอบครัวเขาก็คือครอบครัวคุณ?
เพราะฉะนั้นจากที่เคยดูแลแค่พ่อแม่ปู่ย่าตายายของตัวเอง
คุณก็ต้องเข้าไปทำความสนิทสนม ฝากเนื้อฝากตัว
ดูแลพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ฝ่ายสามีด้วย ใครที่คิดว่าเยอะไปไหม
ฉันทำไม่ไหวหรอก แบบนี้คุณคงยังไม่พร้อมจะมีสามีแน่นอน
เป็นแฟนกันต่อไปเถอะ!7. ค่าใช้จ่ายของสองเรา
เรื่องเงินทองนับเป็นเรื่องสำคัญอีกหนึ่งเรื่องระหว่างคนรัก
เวลาที่ออกไปเที่ยวหรือไปทานข้าวตอนเป็นแฟนกันก็อาจจะจ่ายใครจ่ายมัน
แยกกระเป๋าสตางค์กันชัดเจน
แต่เมื่อเป็นสามีภรรยากันแล้วจะถือคติเงินใครเงินมันแบบเดิมคงจะลำบาก
เพราะจะมีค่าใช้จ่ายส่วนกลางระหว่างคุณสองคนที่ต้องแชร์กัน เช่น ค่าบ้าน
ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าอื่นๆ อีกจิปาถะ
เพราะฉะนั้นการวางแผนการใช้เงินก็ควรจะรอบคอบมากขึ้น
ไม่ใช่ว่าอยากจะซื้ออะไรก็ซื้อได้เหมือนตอนเป็นแฟนกันนะ
รวมถึงเรื่องหนี้สินของแต่ละฝ่ายด้วย
คิดไตร่ตรองให้ดีนะคะว่าเมื่อแต่งงานไปแล้วคุณจะต้องเข้าไปช่วยรับผิดชอบหนี้สินส่วนนั้นด้วยหรือไม่
ถ้าไม่อยากใช้หนี้ที่ตัวเองไม่ได้ก่อก็อย่าเพิ่งแต่งงานแล้วกัน!8. อย่าลืมคิดเรื่องลูกด้วยล่ะ
ฝ่ายชายบางคนที่อยากมีลูกก็มักจะยื่นคำขอปั๊มลูกทันทีที่แต่งงาน
นี่แหละค่ะเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เหล่าสาวๆ
ตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ในสถานะแฟนและยังไม่ยอมเซย์เยสแต่งงานซะที
เพราะการอุ้มท้องทารกหนึ่งคนก็ส่งผลต่อชีวิตในหลายๆ ด้าน
ใครที่คิดแบบนี้อยู่ฮีบินขอฟันธงเลยว่าคุณยังไม่พร้อมจะแต่งงานแน่นอน
เป็นแฟนกันต่อไปซะเถอะ แต่เมื่อไหร่ที่คุณทั้งสองคนมีความเห็นพ้องต้องกัน
เช่น ไม่อยากมีลูกทั้งคู่ หรือ อยากมีลูกด้วยกันเร็วๆ
แบบนี้ก็เตรียมเปลี่ยนสถานะจากนางสาวเป็นนาง
พวงสถานะว่าที่คุณแม่ไปเลยก็ได้นะคะข้อดีของสถานะแฟนก็คือ คุณและเขายังคงมีพื้นที่ส่วนตัวของกันและกันอยู่
แต่ในขณะเดียวกันความสัมพันธ์ก็ยังเปราะบาง
เพราะจะตัดสินใจเดินจากกันไปเมื่อไหร่ก็ได้
แต่สถานะของสามีภรรยามันจะทำให้ความสัมพันธ์ของคุณมั่นคงมากขึ้น
สายใยรักเข้มแข็งขึ้นตามสถานะที่เปลี่ยน
เป็นครอบครัวที่ประคับประคองกันได้ดีกว่าเดิม
แต่ทั้งหมดนี้ก็แลกมาด้วยพื้นที่ส่วนตัวที่ลดน้อยลงและหน้าที่ความรับผิดชอบที่มากขึ้นกว่าตอนเป็นแฟน
ลองถามตัวเองดูสิว่า คุณสบายใจที่จะอยู่ในสถานะไหน
แล้วคุณก็จะได้คำตอบว่าผู้ชายที่คบอยู่นั้น คุณจะให้เขาเป็นแค่ "แฟน"
หรือพร้อมจะให้เขามาเป็น "สามี" ของคุณเรื่อง : JeenHuiBin
ภาพ :www.pexels.com/