จากใจชายคนนึงถึง เบเกอรี่มิวสิก
"เบเกอรี่มิวสิก"เป็นสังกัดค่ายเพลงที่ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2537 โดยผู้ก่อตั้งอย่าง บอย โกสิยพงษ์, กมล สุโกศล แคลปป์, สมเกียรติ อริยะชัยพาณิชย์ และ สาลินี ปันยารชุน เบเกอรี่มิวสิกเป็นค่ายแรกที่ริเริ่มการติดสติกเกอร์บนปกเทป ซึ่งเริ่มตั้งอัลบั้มแรกของโมเดิร์นด็อก
โดยที่ศิลปินในค่ายจะมาช่วยกันแปะสติ๊กเกอร์ ความแปลกใหม่ของวงการ
ตลอดช่วง 3-4 ปีแรกของการผลิตอัลบั้ม
เบเกอรี่มิวสิกปั้นศิลปินหน้าใหม่พร้อมด้วยแนวเพลงใหม่ๆ
ให้กับวงการเพลงไทยอย่างไม่ขาด ไม่ว่าจะเป็น โจอี้ บอย เจ้าของฉายาแร็ปจรวดที่สร้างฮิปฮอปที่มีความเป็นไทยรายแรก, อรอรีย์ จุฬารัตน์ ผู้ที่ได้รับการยกย่องเป็นราชินีกรันจ์หญิงคนเดียวของเมืองไทยในเวลาต่อมา โยคีเพลย์บอย อินดี้ป็อปกับท่าเต้นยียวนอันเป็นเอกลักษณ์, พอส ที่โด่งดังมากๆ กับเพลง ?ที่ว่าง?รวมทั้งโปรเจ็กต์ เบเกอรี่แซมเพลอร์ ที่เป็นต้นกำเนิดของวงร็อคดังแห่งยุคอย่าง ซิลลี่ฟูลส์ และศิลปินกลุ่มแนวดิสโก้ฟังก์อย่าง กรู๊ฟไรเดอร์ส
ความมีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมของเบเกอรี่มิวสิก
นอกจากจะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้แก่วงการเพลงดังที่กล่าวไปแล้วยังส่งผลให้
ระบบการทางานของเบเกอรี่มิวสิคต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน
ความขัดแย้งระหว่างการให้น้าหนักระหว่าง ?ศิลปะ? และ ?ธุรกิจ?
ทำให้ผู้ก่อตั้งเบเกอรี่มิวสิคลาออกและถอนหุ้น
ประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำในขณะนั้นจนรัฐบาลต้องประกาศลอยตัวค่าเงิน
บาทใน ปี พ.ศ. 2540 ส่งผลให้ค่ายเพลงจำนวนมากปิดตัวไป
ด้วยแนวคิดของเบเกอรี่มิวสิคที่ให้ความสาคัญของศิลปะมากกว่าธุรกิจมาตั้งแต่
ต้น จึงทำให้ไม่สามารถต้านทานกระแสเศรษฐกิจตกต่ำได้หลังจาก บอย โกสิยพงษ์
และเพื่อนอีกสองคนที่เป็นคณะผู้บริหารและผู้ก่อตั้งเบเกอรี่ลาออกสมเกียรติ
อริยะชัยพาณิชย์ เปลี่ยนไปทางานเพลงให้กับศิลปินในวงการ ส่วนกมล สุโกศล
แคลปป์เปลี่ยนไปผลิตงานด้านโทรทัศน์ มีเพียง บอย
โกสิยพงษ์ที่ยังคงมุ่งมั่นทำค่ายเพลงอีกครั้ง โดยค่ายเพลงใหม่ของบอย
โกสิยพงษ์มีชื่อว่า ค่ายเพลง Love is
เป็นค่ายเพลงขนาดเล็กเหมือนค่ายเบเกอรี่ ในยุคเริ่มแรก
แต่มีระบบการจัดการในรูปแบบสหกรณ์ ซึ่ง บอย
โกสิยพงษ์ได้แนวคิดนี้มาจากคริสต์ศาสนาที่เขาศรัทธา
และกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของค่ายเพลง โซนี่ มิวสิก ในปัจจุบัน ซึ่งแน่นอนว่ายังคงมีกลุ่มแฟนคลับและผู้ที่ยังคงคิดถึง รัก และศรัทธา ในกลิ่นไอแนวดนตรีของ เบเกอรี่มิวสิก (Bakery Music)
อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
เหมือนกับอดีตพนักงานคนหนึ่งในบริษัทเบเกอรี่มิวสิกคนนี้
เค้าโพสความในใจลงเฟสบุ๊คส่วนตัวด้วยข้อความที่สุดซาบซึ้งทีเดียว
มีใจความว่าดังนี้....สมัยเพิ่งเรียนจบใหม่ๆ ผมมีความเชื่อว่าเราต้องทำงานในที่ๆเราศรัทธา ตอนนั้นผมศรัทธาในค่ายเพลงเบเกอรี่มิวสิกมากๆ เพราะเป็นค่ายที่สร้างความแตกต่างให้กับวงการเพลง
ไม่ซ้ำซากแบบอาร์เอสหรือแกรมมี่
ผมจึงตั้งเป้าว่าจะต้องไปทำงานที่นี่ให้ได้ ไม่ทำที่อื่น
ครั้งแรกที่ไปยื่นใบสมัคร
ผมรวบรวมงานสมัยเรียนทั้งหมดทำมาเป็นซีดีอินเทอร์แอคทีฟ
เพราะรู้สึกว่ามันคงแตกต่างดี น่าจะสร้างความสนใจกับครีเอทีฟได้
และผมซีล็อคใบประกาศนียบัตรต่างๆที่ได้รางวัลมาทั้งหมด
เรียกว่าเอามาตั้งแต่สมัยประถมเลย (สมัยประถมกับมัธยม ผมเป็นพวกมือปืนล่ารางวัลประกวดวาดภาพ)
ยื่นให้กับฝ่ายบุคคลของค่าย
ผลปรากฎว่าเงียบรออยู่เป็นเดือนก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมจึงตัดสินใจว่าเอาใหม่ เข้าไปที่ค่ายใหม่
คราวนี้โชคดีได้เจอกับครีเอทีฟโดยตรง
เขาบอกผมว่าจำได้ที่ทำเป็นซีดีอินเทอร์แอคทีฟมาใช่ไหม
แต่ว่าเขาเปิดไม่ได้เลยไม่ได้ดูงาน
ผมเลยเอาซีดีอันใหม่เปิดโชว์งานให้เขาดูเดี๋ยวนั้นเลย
พี่เขาดูจบปุ๊ปเขาบอกให้ผมเข้ามาทำงานได้เลย ตอนนั้นโคตรดีใจ
เดินยิ้มกลับบ้านตลอดทาง ขนาดมีขอทานมาขอตังค์ ผมควักให้เลย 100 แบบไม่คิด
ขอทานมองหน้าผมแบบงงๆ
มันช่างเป็นวันที่ผมมีความสุขมากที่จะได้ทำงานในที่ๆผมศรัทธาตลอดระยะเวลาปีครึ่งที่ได้ทำงานที่นี่ ผมได้ทำอะไรหลากหลายมาก
ทำแล้วมีความสุข แม้หน้าตาของผมจะนิ่งๆไม่แสดงอามณ์ใดๆก็ตาม
ได้ทำงานตั้งแต่ ออกแบบปกเทปปกซีดีศิลปินในค่าย ออกแบบสื่อสิ่ง
พิมพ์ต่างๆ ออกแบบเว็ป ทำซีดีอินเทอร์แอ็คทีฟให้ศิลปินเมื่อออกอัลบั้มใหม่
ทำเกมจับผิดภาพ (ทั้งออกแบบและทำโค้ดโปรแกรมเกมส์
ซึ่งงานนี้เป็นอีกงานที่ผมภูมิใจ
เพราะต้องมาทำอะไรที่เราไม่เคยเรียนมาเลย
ต้องศึกษาการเขียนโปรแกรมเกมส์ด้วยตัวเอง
จนในที่สุดก็ทำเสร็จได้ด้วยตัวคนเดียว) ทำวิดีโอสกู๊ปต่างๆเพื่อเอามาลงเว็ป
ออกไปถ่ายเอง ตัดต่อเอง ทำไตเติ้ลค่ายเพลง ทำพรีเซ็นต์ค่ายเพลง
เรียกว่าเป็นมนุษย์จับฉ่ายเลยทีเดียว
ที่นี่สอนให้ผมทำงานด้วยมุมมองของการเป็นอาร์ตติส
ไม่ใช่ด้วยมุมมองของนักธุรกิจ ผู้บริหารก็มีความเป็นอาร์ตติสสูง
และผมรู้สึกได้ว่าพนักงานที่มาทำงานก็มาทำด้วยความศรัทธาในค่ายนี้เกือบทั้ง
นั้นแต่สุดท้ายเราก็ต้องอยู่ในโลกแห่งความจริง เมื่อบริษัทจะ
อยู่ได้ก็ด้วยวิธีคิดแบบนักธุรกิจ ต้องมีผลกำไร
สุดท้ายค่ายเพลงที่ผมศรัทธาก็ต้องเปลี่ยนแปลง ถูกซื้อต่อ
ผู้บริหารและก่อตั้งค่ายลาออก พนักงานถูกให้ออก (รวมถึงผมด้วย)
วันที่พี่บอย พี่สุกี้ เรียกพนักงานแต่ละแผนกไปคุย
เพื่อให้ออกเพราะบริษัทไม่สามารถจ้างได้แล้วเป็นวันที่เศร้ามาก
พนักงานหลายคนร้องไห้โฮกันเลย ผมรู้สึกได้เลยว่าพนักงานที่มาทำงานที่นี่
ทำด้วยความศรัทธา ขนาดหัวหน้ายอมลดเงินเดือนตัวเอง พนักงานยอมไม่มีโบนัส
เพื่อช่วยบริษัท แต่สุดท้ายก็ไม่ไหว
ทุกวันนี้แม้ชื่อค่ายจะยังมีอยู่แต่หัวใจได้ตายไปแล้ว
แต่มันก็เป็นความทรงจำที่ดีอันหนึ่งสำหรับผม
ที่ครั้งหนึ่งผมได้ทำงานในที่ๆผมศรัทธาที่ชื่อว่า...เบเกอรี่มิวสิค (Bakery Music)ซึ่งอดีตพนักงานท่านนี้
ได้ผันตัวมาเป็นอาจารย์พิเศษให้กับมหาวิทยาลัยชื่อดัง และเป็นทั้ง
ผู้กำกับมิวสิควีดีโอ ผู้กำกับโฆษณา ผู้กำกับภาพยนตร์
มีผลงานมาแล้วอย่างมากมายในปัจจุบัน....