วิจารณ์หนัง JURASSIC WORLD รุ่งหรือร่วง ?

อ่าน 13,659

ปี 1993 ผลงานเรื่องJurassic Parkของสตีเว่น สปีลเบิร์กคือผลงานภาพยนตร์เรื่องสำคัญที่ทำให้โลกต้องจดจำหนังที่บอกเล่าเรื่องราวการฟื้นคืนชีพของไดโนเสาร์ในสวนสนุกกลางเกาะอิสลา นูบลาโดยจอห์น แฮมมอนด์มหาเศรษฐีผู้สร้างสวนสนุกแห่งนี้ แต่แล้วเมื่อระบบรักษาความปลอดภัยเกิดความผิดพลาดทำให้บรรดาไดโนเสาร์หลุดออกมาจากแนวรั้วไฟฟ้า ทำให้บรรดานักท่องเที่ยวตกอยู่ในอันตราย

เรื่องราวใน Jurassic Park นั้นดัดแปลงมาจากนิยายเลื่องชื่อผลงานของไมเคิล ไครซ์ตัน นักเขียนนิยายแนววิทยาศาสตร์ซึ่งจุดเด่นในนิยายหลายๆเล่มของเขามักจะพูดถึงเรื่องราวความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่มักจะนำมาซึ่งหายนะขั้นร้ายแรงเนื่องมาจากความล้มเหลวของระบบ รวมไปถึงความล้มเหลวในการจัดการระบบนั้นของมนุษย์นั่นเอง

พล็อตของหนังในJURASSIC WORLDมีจุดร่วมเช่นเดียวกันกับตัวหนังในภาคแรก (ซึ่งจะว่าไปแล้วมันก็คือหนังภาคแรกในเวอร์ชั่นที่เปลี่ยนตัวละครใหม่นั่นเอง) หากแต่หนังในภาคที่ 4 นี้หยิบเรื่อง ?ธุรกิจในยุคปัจจุบัน? มาเป็นแรงขับแกนเรื่องที่มีความสำคัญและทำให้เกิดเหตุการณ์บานปลายทั้งหมดในเรื่อง ซึ่งหนังในภาคนี้กำกับโดยผู้กำกับคนใหม่อย่างโคลิน เทรเวอร์โร่

เมื่อสวนสนุก JURASSIC WORLD คือความพยายามในการสานฝันของจอห์น แฮมมอนด์ให้กลายเป็นความจริงขึ้นมา เรื่องราวเกิดขึ้น 22 ปีให้หลังจากหนังภาคแรกเมื่อไซมอน มาสรานี(อีร์ฟาน ข่าน)นักธุรกิจชาวอินเดีย เจ้าของบริษัทมาสรานี โกลเบิล คอเปอเรชั่นได้ซื้อกิจการบริษัทอินเจน หลังจากจอห์น แฮมมอนด์เสียชีวิตลง ความพยายามของเขาสามารถสร้างจูราสิคเวิร์ลในปี 2005 จนมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาราวสองหมื่นคนต่อวัน

ในสวนนี้มีแคลร์(ไบรซ์ ดัลลัส โฮเวิร์ด)เป็นผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ ส่วนโอเว่น (คริส แพรตต์)เป็นผู้ศึกษาพฤติกรรมของแรปเตอร์ แต่สวนสนุกที่เปิดทำการมาเป็นระยะใหญ่ๆ บรรดานักท่องเที่ยวก็ดูเหมือนจะเบื่อสิ่งเดิมๆ ทำให้พาร์คแห่งนี้หวังจะกระตุ้นยอดผู้ชมด้วยการสร้างอินโดไมนัส เรกซ์ไดโนเสาร์ดัดแปลงพันธุกรรมที่ตัวใหญ่กว่า ดุร้ายกว่า เสียงดังกว่า โดยหารู้ไม่ว่าการเพาะพันธุ์ไดโนเสาร์ตัวนี้จะนำมาซึ่งจุดจบของจูราสิคเวิร์ล

ประวัติศาสตร์มักซ้ำรอยเดิม การเล่นบทพระเจ้าของมนุษย์ในการสร้างสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์ไปแล้วกลับขึ้นมานั้น เป็นพล็อตเดียวกับบรรดานิยายวิทยาศาสตร์ที่ชี้ให้เห็นถึง ?โทษ? จากการที่มนุษย์โกงระบบสิ่งแวดล้อม และไม่อาจจะควบคุมสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นมาได้จริง จนท้ายที่สุดแล้วความหายนะก็มาเยือนมนุษย์

JURASSIC WORLDเดินเรื่องตามพล็อตหนังภาคแรกทุกอย่าง ในรูปโฉมของพาร์คใหม่ และตัวละครใหม่ จริงอยู่ที่บรรดาฉากไล่ล่า หรือเผยให้เห็นไดโนเสาร์อาจจะตื่นเต้นเร้าใจ แต่ด้วยความที่หนังภาคนี้ดูเหมือนผู้กำกับจะลังเลในตัวเองว่าจะทำเป็นหนังครอบครัวที่ทุกคนดูได้แบบ JURASSIC PARK หรือจะทำเป็นหนังที่ค่อนข้างซีเรียสและจริงจังแบบในThe Lost World:JURASSICPARKเป็น เลยเป็นผลทำให้หนังภาคนี้มีความ ?ครึ่งๆกลางๆ? ไปไม่สุด

ตัวละครที่ถูกออกแบบมาให้ดูค่อนข้างเสียสติหน่อยๆ แบบแคลร์และไซมอน มาสรานีกลับดูไม่ค่อยมีความเป็นมนุษย์ ในขณะที่ตัวละครอย่างโอเว่นและบรรดาพ่อแม่ของเกรย์และแซค กลับดูซีเรียสจริงจังและเป็นมนุษย์มากเกินไป ทำให้เกิดความลักลั่นอย่างที่บอกว่าหนังไปไม่สุดสักทาง

อย่างไรก็ตามเทคนิคพิเศษในหนังก็ยังตื่นตาตื่นใจ เป็นหนังซัมเมอร์ที่ทุกคนรอคอย เพียงแต่คนที่เติบโตมาพร้อมกับหนัง JURASSIC PARK ภาคแรกอาจจะยัง ?ตราตรึง? กับหนังภาคนั้นไม่รู้คลายจนรู้สึกว่า JURASSIC WORLD ก็ยังเป็นการกินบุญเก่าและไม่สามารถเทียบชั้นต้นฉบับได้ ดังเช่นฉากคาราวะต้นฉบับที่สองเด็กน้อยเข้าไปพบกับพาร์คเก่า, การขับรถผ่านรั้วไฟฟ้า หรือแม้กระทั่งการขับรถจิ๊บจากหนังภาคแรกกลับมายังจูราสิค เวิร์ล นั่นเอง



บทความแนะนำ


MiyatakeSushiDenร้านอาหารญี่ปุ่นไฮโซอ๊อบนวลน้อยทิมกุลงานแต่งข่าวล่าสุดบ้านครูน้อยปิดตัวดาราข่าวบันเทิงทรงผมทรงผมสั้นทรงผมประบ่าทรงผมถักเปียดูดวงดวงความรัก