6 สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเมื่อฉันเลิกแต่งหน้า

อ่าน 4,699

ฉันเริ่มลองแต่งหน้าครั้งแรกเมื่อสมัยยังเป็นเด็กที่ชอบเล่นแต่งตัวเหมือนกับผู้หญิงส่วนใหญ่ เชื่อไหมว่าฉันแทบอดใจรอตอนโตเป็นผู้ใหญ่เพื่อที่จะได้ทาอายแชโดว์พร้อมกับทาลิปสติกไม่ไหว พอขึ้นมัธยมปลายฉันก็เริ่มลงรองพื้นและปัดแก้มเพื่อปกปิดรอยสิว ไม่นานนักก็ขยับไปใช้เครื่องสำอางหนักๆอย่างมาสคาร่า อายไลเนอร์ ลิปสติก แล้วก็เพิ่มระดับขึ้นเรื่อยๆ

จนกระทั่งเมื่อไม่กี่ปีที่แล้วฉันได้ลาออกจากงานและเริ่มอาชีพใหม่เป็นที่ปรึกษาด้านสุขภาพ ฉันไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศหรือจัดการประชุมและพบปะผู้บริหารระดับสูงอีกต่อไปแล้ว ปัจจุบันฉันหันมาเล่าเรียน เขียนหนังสือ ทำอาหาร และฝึกโยคะแทน อยู่มาวันหนึ่งฉันไปวิ่งสายและไม่มีทางเลือกจึงต้องออกจากบ้านโดยที่ไม่ได้แต่งหน้า ปรากฏว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันได้รับอนุญาตให้ขึ้นรถไฟใต้ดิน ไม่ต้องติดคุกฐานทำให้เด็กเล็กตกใจ อันที่จริงเพื่อนๆของฉันก็ไม่ทันสังเกตหรือพูดอะไรเลยด้วยซ้ำ ฉันจึงตัดสินใจเลิกแต่งหน้านับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จะว่าไปการเลิกแต่งหน้าน่าจะเรียกว่าวิวัฒนาการมากกว่าการปฏิวัตินะ ที่สำคัญฉันได้ค้นพบสิ่งที่น่าทึ่งจนไม่คิดที่จะอยากกลับไปแต่งหน้าอีกเลย

1. มีเวลาคืนกลับมามหาศาล

นอกจากเวลาที่ต้องใช้ในการแต่งหน้าและเติมเครื่องสำอางทุกๆวัน ฉันยังต้องเสียเวลาหลายชั่วโมงไปกับการเม้าท์มอยกับเพื่อนๆเรื่องแบรนด์โปรด รวมทั้งการเดินทอดน่องอยู่แถวเคาท์เตอร์เครื่องสำอางหรือร้านขายยา และที่ขาดไม่ได้คือต้องติดตามอ่านรีวิวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆด้วย บอกเลยว่าฉันสิ้นเปลืองเวลาไปกับการแต่งหน้ามากเกินไป

2. มีความพอใจในความเป็นธรรมชาติของตัวเอง

ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของฉันคือการค้นหาเฉดสีที่จะทำให้ริมฝีปากอวบอิ่ม ทินท์ที่จะทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งดุจนางฟ้า มาสคาร่าที่จะทำให้ขนตางอนยาวสวยเด้ง และผลิตภัณฑ์อื่นๆที่จะทำให้ฉันกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ แทนที่จะรู้จักรักตัวเอง ฉันกลับมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับการไม่พอใจในใบหน้าของตัวเอง

3. ประหยัดเงินได้มากโข

แม้ว่าคุณจะใช้แต่เครื่องสำอางแบรนด์ร้านขายยาราคาถูกหรือสินค้าลดราคา แต่คุณก็ต้องเสียเงินมูลค่ามหาศาลไปกับการแต่งหน้าอยู่ดี ในปี 2013 InStyle รายงานว่าผู้หญิงเสียเงินไปกับการซื้อผลิตภัณฑ์เสริมความงามตลอดทั้งชีวิตเป็นจำนวนกว่า 15,000 เหรียญ หรือประมาณ 480,000 บาท แต่ฉันกลับคิดว่าเราเอาเงินจำนวนนี้ไปใช้จ่ายอย่างอื่นไม่ดีกว่าเหรอ?

4. ยุติความไม่เท่าเทียมกันทางเพศ

คุณเคยถามตัวเองไหมว่าทำไมทุกคนถึงยอมรับผู้ชายที่ไม่ได้แต่งหน้าระหว่างการประชุมหรืองานเลี้ยงค็อกเทล ขณะที่ผู้หญิงถ้าเปลือยหน้าสดจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เลยทีเดียว หากผู้หญิงต้องแต่งหน้าเพื่อให้กลายเป็นที่ยอมรับ ฉันมองว่ามันไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องเท่าไหร่นัก

5. สะดวกคล่องตัวไม่ต้องกลัวเปื้อน

ถ้าคุณเป็นคนแต่งหน้าก็ต้องหมั่นเติมเครื่องสำอางตลอดทั้งวัน อีกทั้งต้องคอยระวังไม่ให้เปื้อนเสื้อผ้าหรือเลอะคนอื่น แต่ถ้าคุณไม่ใช่คนแต่งหน้า บอกเลยว่าคุณจะมีความสุขและอิสระในการทำกิจกรรมได้ทุกอย่างโดยไม่ต้องกลัวว่าจะโดนน้ำเมื่อถึงเวลาที่ต้องล้างหน้าหรือทำความสะอาด

6. จะแต่งหรือไม่แต่งก็ไม่เห็นมีอะไรต่างกัน

ทันทีที่เลิกแต่งหน้าฉันก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ต้องเสียเวลามากมายอีกแล้ว ไม่มีใครสักคนที่บอกว่าฉันดูโทรมจนรับไม่ได้ บางคนบอกว่าดูสบายตาด้วยซ้ำ นั่นอาจเป็นเพราะการแต่งหน้าถึงแม้จะช่วยในเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกก็จริงแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตซะหน่อย ยังมีปัจจัยอื่นๆอีกมากมายเป็นส่วนประกอบในการเป็นที่ยอมรับ อาทิเช่น บุคลิกภาพ ความสามารถ การแต่งกาย คำพูด รอยยิ้ม ทัศนคติ เป็นต้น

อย่างไรก็ตามต่อให้คุณสนุกสนานกับการแต่งหน้า แต่การออกไปข้างนอกด้วยใบหน้าเปลือยเปล่าก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวอย่างที่คุณคิด รู้ไหมว่าคุณอาจประหยัดได้ทั้งเงินและเวลาหลังจากที่ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นคนใหม่ในแบบที่ปราศจากเครื่องสำอาง! หรืออย่างน้อยก็แต่งหน้าให้อ่อนลงในวันสบายๆบ้างก็ยังดี

Blogger : Karen AzeezSource : mindbodygreen.com



บทความแนะนำ


ดรีมเวิลด์สวนสนุกโลกแห่งความฝันฉลองวันเกิดวันแม่KFCทาร์ตไข่เล็บฉีกผู้หญิงความสวยความงามทรงผมทรงผมสั้นทรงผมประบ่าทรงผมถักเปียดูดวงดวงความรัก