5 ขั้นตอน จีบหนุ่มในโรงเรียน แบบเนียนๆ ให้ได้ผล

อ่าน 1,371

ความรักนั้นไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของวัย ไม่ว่าจะเป็นวัยเด็ก วัยรุ่น

ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุนั้นก็สามารถมีความรักกันได้ทั้งนั้น

เพียงแต่ว่าปัจจัยต่างๆ

รวมถึงสภาพแวดล้อมในความรักของคนสองคนอาจแตกต่างกันตามช่วงของวัยเท่านั้น

ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องการจีบหนุ่มในโรงเรียน

ก็คือในช่วงวัยมัธยมของเด็กที่อายุประมาณ 13-18 ปี นั่นเอง

จากประสบการณ์ที่ได้พบเจอมาจากคนรอบข้างและตามทรรศนะของผู้เขียนเองซึ่งเป็นผู้ชาย

เชื่อสิว่าโดยปกติแล้ว

เปอร์เซ็นต์ในเรื่องการที่ผู้หญิงเป็นฝ่ายจีบผู้ชายก่อนนั้นจะมีโอกาสจีบติด

มากกว่าผู้ชายเป็นฝ่ายจีบผู้หญิงก่อน

และยิ่งเป็นวัยมัธยมที่ยังเป็นความรักแบบ Puppy Love แล้วล่ะก็

ยิ่งเป็นเรื่องที่ไม่ยากอย่างที่คิด ถ้าทุกคนอยากทราบว่าต้องทำอย่างไร

เรามีวิธีง่ายๆ มาฝาก

1.เปิดตัวอย่างเซียน แนบเนียนให้เป็นธรรมชาติ

ถ้ารู้สึกชอบใครสักคนมากๆ จนอยากจะจีบเขาคนนั้นมาเป็นแฟน แน่นอนว่าสิ่งแรกที่ต้องทำเลยคือ การเริ่มทำความรู้จัก

ซึ่งมันก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิดหรอก

ยิ่งเป็นฝ่ายหญิงเข้าไปจีบหนุ่มในโรงเรียนก่อนด้วยแล้ว

เชื่อสิว่าเขาคนนั้นคงไม่แสดงทีท่ารังเกียจหรือปฏิเสธตั้งแต่แรกหรอก

เพียงแต่สาวๆ อาจจะต้องทำให้แนบเนียนสักนิด แค่เดินเข้าไปหาเขาคนนั้น

พูดคุยทักทายตามปกติ ถ้ามีเรื่องชวนคุยอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็คุยไป

โดยให้มีความเป็นธรรมชาติที่สุด

ไม่ต้องพยายามคุยแค่เรื่องที่เขาชอบอย่างเดียว

หรือพูดแต่เรื่องที่เราชอบอย่างเดียว เพราะมันจะทำให้บทสนทนาน่าเบื่อ

และนำมาสู่การตัดบทได้

ซึ่งการคุยโต้ตอบกันเรื่องสัพเพเหระทั่วไปอย่างเป็นธรรมชาติ

มีความจริงใจ รวมถึงอิริยาบถต่างๆ ประกอบการพูดคุย เช่น รอยยิ้ม

หรือเสียงหัวเราะ ยิ่งเป็นวัยมัธยมที่มีความสดใสตามวัยของตัวเองอยู่แล้ว

ยิ่งทำให้ดูมีเสน่ห์น่าเข้าหา และน่าดึงดูดใจด้วยตัวมันเอง

โดยที่ไม่ต้องไปทำอะไรเวอร์วังอลังการมากมาย เรื่องง่ายๆ แค่นี้แหละ

ก็สามารถเป็นความประทับใจเมื่อแรกพบ หรือเฟิร์สอิมเพรสชั่น ที่ดีมากๆ

เกินกว่าที่คาดไว้เสียอีก แต่ที่สำคัญคือ อย่าพยายามทำตัวให้ดูเด่นจนเกินไป

เพื่อดึงดูดความสนใจจากหนุ่มคนนั้น เพราะมันอาจทำให้เขาหนีห่างออกไปแทน

ดังนั้นแค่ทำอะไรที่ดูเรียบง่าย และเป็นธรรมชาติตามที่ตัวเองเป็นก็พอ


2. เพิ่มระดับความสนิทด้วยการใกล้ชิดเธอ

การเรียนย่อมมีบางวิชาที่ต้องทำงานกลุ่ม สาวๆ

ควรใช้โอกาสนี้ในการอยู่กลุ่มเดียวกับหนุ่มที่ตัวเองชอบ

เพื่อจะได้ทำงานกลุ่มด้วยกัน

อย่างน้อยก็จะได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับเขามากกว่าเดิม

จากนั้นถ้ามีการบ้านที่ต้องทำ ก็อาจจะชวนเขาไปทำการบ้านด้วยกัน

ถ้ามีติวหนังสือวิชาต่างๆ ก็ชวนเขามาติวด้วยกัน

หรือถ้ามีเรียนพิเศษก็ชวนไปเรียนด้วยกันก็ได้

เพื่อที่จะได้เพิ่มระดับความใกล้ชิดระหว่างตัวเองกับเขาคนนั้น

เมื่อมีเรื่องให้สนิทสนมกันมากขึ้น

ก็จะได้มีโอกาสพูดคุยกันมากขึ้นตามไปด้วย

แต่ทุกอย่างทั้งหมดนี้ต้องทำด้วยความแนบเนียน อย่ากระโตกกระตาก

เพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ถูกมองในด้านลบด้วย

ว่าเป็นฝ่ายเข้าหาผู้ชายมากจนเกินงาม

ซึ่งในวัยนี้การเข้าหาด้วยเรื่องเรียนอย่างเนียนๆ

เป็นวิธีเพิ่มระดับความใกล้ชิดสนิทสนมอย่างดีที่สุด

แต่ก็ต้องอย่าลืมโฟกัสที่เรื่องเรียนกันด้วยเนาะ


3. เป็นห่วงเป็นใยพาหัวใจไหวหวั่น

เราชอบเขาอยู่แล้วจริงมั้ย?

ดังนั้นการแสดงความเป็นห่วงเป็นใยย่อมเป็นเรื่องที่ไม่แปลกอยู่แล้ว

เพียงแต่ว่าอาจจะต้องแสดงความห่วงใยต่อเขามากขึ้นอีกระดับหนึ่ง

ประมาณว่ามากกว่าขั้นเพื่อน แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นแฟน

เพราะตอนนี้เรายังเป็นแค่คนที่ชอบเขาเท่านั้น

จึงเป็นการแสดงความห่วงใยที่สื่อให้เขาคนนั้นรับรู้ได้ว่า ?ผู้หญิงคนเนี้ย กำลังชอบเรานะ?แต่ยังไม่ต้องยิงให้ตรงประเด็นโดยการบอกชอบเขาไปตรงๆ เลย เพราะมันจะดูโผงผางเกินไป ซึ่งอาจทำให้เจ็บหนักกลับมาได้

แต่การแสดงออกถึงความห่วงใยในแบบที่กล่าวมาข้างต้น เช่น

เวลาที่เขาไม่สบายลาป่วยอยู่บ้าน ก็คอยช่วยเหลือเขา

โดยการบอกเขาว่าวันนี้เรียนอะไรบ้าง ถ้ามีการเลคเชอร์ระหว่างเรียน

ก็ให้เขายืมเลคเชอร์ แต่ไม่ต้องถึงขั้นจดเลคเชอร์แทนเขา

อาจคอยช่วยเหลือเขาเวลาทำการบ้าน

แต่ไม่ต้องทุ่มสุดตัวถึงขั้นทำการบ้านแทนเขา เป็นต้น

ต้องจำไว้ว่าทุกอย่างที่ทำนี้ต้องอยู่ในความพอดี อย่าให้เยอะเกินไป

เพราะไม่งั้นเราอาจตกเป็นของตายตั้งแต่แรก

หรือเขาอาจตกลงคบกับเราเพราะผลประโยชน์ส่วนตัวก็เป็นได้

ซึ่งถ้าทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ มันก็เป็นเหมือนกับหลักการน้ำซึมบ่อทราย ค่อยๆ ซึมเข้าไปเรื่อยๆ จนเป็นเหมือนส่วนหนึ่งในชีวิตเขา ต่อให้แข็งแกร่งแค่ไหน ก็ต้องหวั่นไหวกันบ้างล่ะ


4. เช็คเรทติ้ง มาแบบนิ่งๆ แต่อ่านเกมขาด

หลังจากผ่านมาทุกขั้นตอนแล้วตอนนี้ก็ถึงขั้นตอนสุดท้ายที่เราต้องเช็คสัญญาณจากเขาคนนั้นกันบ้าง

ง่ายก็คือๆ

ลองสังเกตพฤติกรรมและปฏิกิริยาที่เขาตอบโต้กลับมาว่าไปในทิศทางไหนอย่างนิ่งๆ

เพื่อจะได้อ่านเกมให้ขาด

เพราะด้วยธรรมชาติของผู้ชายส่วนใหญ่แล้วจะมีความเป็นสุภาพบุรุษแฝงอยู้ในตัวไม่มากก็น้อย

ดังนั้นเวลาที่เขารับรู้ว่ามีสาวมาชอบเขาและพยายามจีบเขาอยู่

แต่เขาไม่ได้รู้สึกชอบ และรู้สึกว่าเธอคนนั้นไม่ควรจะล้ำออกมาจากFriend Zoneล่ะก็ เขาจะแสดงออกทางการกระทำมากกว่าการพูดออกไปตรงๆ เพื่อไม่ให้ผู้หญิงเสียความรู้สึกมากเกินไป

ยกตัวอย่างเช่น เขาอาจจะปฏิเสธแบบอ้อมๆ

ด้วยการอยู่เป็นกลุ่มกับเพื่อนตลอด ไม่ว่าจะติวหนังสือ ทำการบ้าน

รวมถึงการไปไหนมาไหนกันก็ตาม เพื่อหลีกเลี่ยงการอยู่แบบสองต่อสอง หรือพอเริ่มสนิทกันมากจนเขารู้สึกได้ว่ามันเริ่มเกินคำว่าเพื่อน

แล้วเขาเริ่มมีการตีตัวออกห่างไปเรื่อยๆ

นั่นแหละคือการบอกปฏิเสธแบบรักษาน้ำใจของผู้ชายซึ่งเชื่อว่าทุกคนย่อมมีสัญชาตญาณที่สามารถรับรู้และประเมินผลได้อยู่แล้วว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นมีท่าทีไปในทางบวกหรือทางลบ

พอสาวๆ รู้ว่าท่าทีของเขาเป็นไปในทิศทางไหน

ก็ค่อยปฏิบัติการขั้นสุดท้ายต่อไป


5. ถึงคราวปิดจ็อบ ถ้าไม่ฟอร์มท็อปก็แค่เท

หลังจากเช็คเรทติ้งจนพอที่จะประเมินสถานการณ์ได้แล้วว่าผลลัพธ์จะออกมาในทิศทางไหน

ก็มาถึงขั้นตอนสุดท้ายที่ต้องปิดจ็อบกันสักที

ในขั้นตอนนี้ขอบอกก่อนเลยว่ามันต้องใช้ การวัดใจไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ยังไงการได้พูดออกไป ก็ดีกว่าเก็บเงียบไว้ในใจตลอดกาลเพราะฉะนั้นสาวๆ ก็ลองพูดออกไปเลยว่า ?เราชอบเธอนะ คบกันมั้ย?ซึ่งผลที่ออกมาอาจสมใจอยาก

หรือไม่เป็นไปตามที่ตัวเองหวังไว้ก็ได้ ดังนั้นคิดซะว่า

ถ้าผลออกมาดีเราก็ได้กำไร แต่ถ้าผลออกมาไม่ดีก็ถือว่าเสมอตัวไปแล้วกัน

ส่วนใครที่คิดไตร่ตรองดูแล้ว ว่าไม่ควรพูดออกไปจะดีกว่า

ก็ไม่ควรมาเสียใจทีหลังนะจ๊ะ เพราะว่าเธอได้เลือกทำไปแล้ว

ยังไม่จบเท่านี้ บางครั้งอาจมีเคสเพิ่มเติมอีกเรื่องคือ ผู้ชายบางคนอาจยังไม่รู้ใจตัวเอง

ว่ารู้สึกชอบฝ่ายหญิงไปแล้วเหมือนกัน พอบอกปฏิเสธผู้หญิงไปแล้ว

อาจเพิ่งมารู้สึกหลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นเริ่มนิ่งเงียบไปจากชีวิต

และกลับมาเป็นฝ่ายตามจีบหรือขอคบผู้หญิงแทน ซึ่งถ้าเกิดคดีพลิกมาเป็นรูปแบบนี้ล่ะก็ สาวๆ คงต้องตัดสินใจกันเองแล้วล่ะว่าจะทำยังไงต่อไป


อย่างไรก็ตามสำหรับเรื่องการจีบหนุ่มในโรงเรียนก่อนนั้น

ถ้าทำให้มันอยู่ในความพอดี ก็จะไม่เป็นเรื่องที่ดูเกินงาม

ส่วนเรื่องความรักในวัยเรียนนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่ผิด

เพียงแต่ว่าเหล่านักเรียนทั้งหลายต้องรู้จักจัดสรรปันส่วนในเรื่องของเวลาให้ลงตัว

รู้ว่าควรแบ่งเวลาให้กับการเรียนเท่าไหร่

และแบ่งเวลาให้กับความรักเท่าไหร่

ที่สำคัญอย่าทุ่มให้กับความรักมากเสียจนละเลยเรื่องการเรียน

เพราะถ้ามันอยู่ในสัดส่วนที่พอเหมาะ

ทุกอย่างมันก็จะดีงามตามท้องเรื่องไปเอง และที่อยากจะฝากไว้อีกอย่างคือ

สำหรับวัยรุ่น ซึ่งเป็นวัยที่มีอารมณ์อยู่เหนือเหตุผล

ดังนั้นถ้าผิดหวังในความรัก หรืออกหักจากคนรัก คนที่ชอบ

ก็อย่าคิดทำร้ายตัวเองกันเลยเนาะ

อย่าลืมว่าชีวิตของเรามีเรื่องให้ทำอีกตั้งเยอะแยะ

แถมยังต้องพบเจอเรื่องราวต่างๆ รวมถึงผู้คนอีกมากมายเลยนะจ๊ะ



บทความแนะนำ


การศึกษาความสวยความงามCommunityOneเส้นผมNationsASEAN:Tenประกวดกรุงเทพมหานครภาคกลางอ่างทองผู้หญิงทรงผมทรงผมสั้นทรงผมประบ่าทรงผมถักเปียดูดวงดวงความรัก