5 ขั้นตอน จีบหนุ่มในโรงเรียน แบบเนียนๆ ให้ได้ผล
ความรักนั้นไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของวัย ไม่ว่าจะเป็นวัยเด็ก วัยรุ่น
ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุนั้นก็สามารถมีความรักกันได้ทั้งนั้น
เพียงแต่ว่าปัจจัยต่างๆ
รวมถึงสภาพแวดล้อมในความรักของคนสองคนอาจแตกต่างกันตามช่วงของวัยเท่านั้น
ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องการจีบหนุ่มในโรงเรียน
ก็คือในช่วงวัยมัธยมของเด็กที่อายุประมาณ 13-18 ปี นั่นเองจากประสบการณ์ที่ได้พบเจอมาจากคนรอบข้างและตามทรรศนะของผู้เขียนเองซึ่งเป็นผู้ชาย
เชื่อสิว่าโดยปกติแล้ว
เปอร์เซ็นต์ในเรื่องการที่ผู้หญิงเป็นฝ่ายจีบผู้ชายก่อนนั้นจะมีโอกาสจีบติด
มากกว่าผู้ชายเป็นฝ่ายจีบผู้หญิงก่อน
และยิ่งเป็นวัยมัธยมที่ยังเป็นความรักแบบ Puppy Love แล้วล่ะก็
ยิ่งเป็นเรื่องที่ไม่ยากอย่างที่คิด ถ้าทุกคนอยากทราบว่าต้องทำอย่างไร
เรามีวิธีง่ายๆ มาฝาก1.เปิดตัวอย่างเซียน แนบเนียนให้เป็นธรรมชาติ
ถ้ารู้สึกชอบใครสักคนมากๆ จนอยากจะจีบเขาคนนั้นมาเป็นแฟน แน่นอนว่าสิ่งแรกที่ต้องทำเลยคือ การเริ่มทำความรู้จัก
ซึ่งมันก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิดหรอก
ยิ่งเป็นฝ่ายหญิงเข้าไปจีบหนุ่มในโรงเรียนก่อนด้วยแล้ว
เชื่อสิว่าเขาคนนั้นคงไม่แสดงทีท่ารังเกียจหรือปฏิเสธตั้งแต่แรกหรอก
เพียงแต่สาวๆ อาจจะต้องทำให้แนบเนียนสักนิด แค่เดินเข้าไปหาเขาคนนั้น
พูดคุยทักทายตามปกติ ถ้ามีเรื่องชวนคุยอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็คุยไป
โดยให้มีความเป็นธรรมชาติที่สุด
ไม่ต้องพยายามคุยแค่เรื่องที่เขาชอบอย่างเดียว
หรือพูดแต่เรื่องที่เราชอบอย่างเดียว เพราะมันจะทำให้บทสนทนาน่าเบื่อ
และนำมาสู่การตัดบทได้ซึ่งการคุยโต้ตอบกันเรื่องสัพเพเหระทั่วไปอย่างเป็นธรรมชาติ
มีความจริงใจ รวมถึงอิริยาบถต่างๆ ประกอบการพูดคุย เช่น รอยยิ้ม
หรือเสียงหัวเราะ ยิ่งเป็นวัยมัธยมที่มีความสดใสตามวัยของตัวเองอยู่แล้ว
ยิ่งทำให้ดูมีเสน่ห์น่าเข้าหา และน่าดึงดูดใจด้วยตัวมันเอง
โดยที่ไม่ต้องไปทำอะไรเวอร์วังอลังการมากมาย เรื่องง่ายๆ แค่นี้แหละ
ก็สามารถเป็นความประทับใจเมื่อแรกพบ หรือเฟิร์สอิมเพรสชั่น ที่ดีมากๆ
เกินกว่าที่คาดไว้เสียอีก แต่ที่สำคัญคือ อย่าพยายามทำตัวให้ดูเด่นจนเกินไป
เพื่อดึงดูดความสนใจจากหนุ่มคนนั้น เพราะมันอาจทำให้เขาหนีห่างออกไปแทน
ดังนั้นแค่ทำอะไรที่ดูเรียบง่าย และเป็นธรรมชาติตามที่ตัวเองเป็นก็พอ2. เพิ่มระดับความสนิทด้วยการใกล้ชิดเธอ
การเรียนย่อมมีบางวิชาที่ต้องทำงานกลุ่ม สาวๆ
ควรใช้โอกาสนี้ในการอยู่กลุ่มเดียวกับหนุ่มที่ตัวเองชอบ
เพื่อจะได้ทำงานกลุ่มด้วยกัน
อย่างน้อยก็จะได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับเขามากกว่าเดิม
จากนั้นถ้ามีการบ้านที่ต้องทำ ก็อาจจะชวนเขาไปทำการบ้านด้วยกัน
ถ้ามีติวหนังสือวิชาต่างๆ ก็ชวนเขามาติวด้วยกัน
หรือถ้ามีเรียนพิเศษก็ชวนไปเรียนด้วยกันก็ได้
เพื่อที่จะได้เพิ่มระดับความใกล้ชิดระหว่างตัวเองกับเขาคนนั้นเมื่อมีเรื่องให้สนิทสนมกันมากขึ้น
ก็จะได้มีโอกาสพูดคุยกันมากขึ้นตามไปด้วย
แต่ทุกอย่างทั้งหมดนี้ต้องทำด้วยความแนบเนียน อย่ากระโตกกระตาก
เพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ถูกมองในด้านลบด้วย
ว่าเป็นฝ่ายเข้าหาผู้ชายมากจนเกินงาม
ซึ่งในวัยนี้การเข้าหาด้วยเรื่องเรียนอย่างเนียนๆ
เป็นวิธีเพิ่มระดับความใกล้ชิดสนิทสนมอย่างดีที่สุด
แต่ก็ต้องอย่าลืมโฟกัสที่เรื่องเรียนกันด้วยเนาะ3. เป็นห่วงเป็นใยพาหัวใจไหวหวั่น
เราชอบเขาอยู่แล้วจริงมั้ย?
ดังนั้นการแสดงความเป็นห่วงเป็นใยย่อมเป็นเรื่องที่ไม่แปลกอยู่แล้ว
เพียงแต่ว่าอาจจะต้องแสดงความห่วงใยต่อเขามากขึ้นอีกระดับหนึ่ง
ประมาณว่ามากกว่าขั้นเพื่อน แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นแฟน
เพราะตอนนี้เรายังเป็นแค่คนที่ชอบเขาเท่านั้น
จึงเป็นการแสดงความห่วงใยที่สื่อให้เขาคนนั้นรับรู้ได้ว่า ?ผู้หญิงคนเนี้ย กำลังชอบเรานะ?แต่ยังไม่ต้องยิงให้ตรงประเด็นโดยการบอกชอบเขาไปตรงๆ เลย เพราะมันจะดูโผงผางเกินไป ซึ่งอาจทำให้เจ็บหนักกลับมาได้แต่การแสดงออกถึงความห่วงใยในแบบที่กล่าวมาข้างต้น เช่น
เวลาที่เขาไม่สบายลาป่วยอยู่บ้าน ก็คอยช่วยเหลือเขา
โดยการบอกเขาว่าวันนี้เรียนอะไรบ้าง ถ้ามีการเลคเชอร์ระหว่างเรียน
ก็ให้เขายืมเลคเชอร์ แต่ไม่ต้องถึงขั้นจดเลคเชอร์แทนเขา
อาจคอยช่วยเหลือเขาเวลาทำการบ้าน
แต่ไม่ต้องทุ่มสุดตัวถึงขั้นทำการบ้านแทนเขา เป็นต้น
ต้องจำไว้ว่าทุกอย่างที่ทำนี้ต้องอยู่ในความพอดี อย่าให้เยอะเกินไป
เพราะไม่งั้นเราอาจตกเป็นของตายตั้งแต่แรก
หรือเขาอาจตกลงคบกับเราเพราะผลประโยชน์ส่วนตัวก็เป็นได้
ซึ่งถ้าทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ มันก็เป็นเหมือนกับหลักการน้ำซึมบ่อทราย ค่อยๆ ซึมเข้าไปเรื่อยๆ จนเป็นเหมือนส่วนหนึ่งในชีวิตเขา ต่อให้แข็งแกร่งแค่ไหน ก็ต้องหวั่นไหวกันบ้างล่ะ4. เช็คเรทติ้ง มาแบบนิ่งๆ แต่อ่านเกมขาด
หลังจากผ่านมาทุกขั้นตอนแล้วตอนนี้ก็ถึงขั้นตอนสุดท้ายที่เราต้องเช็คสัญญาณจากเขาคนนั้นกันบ้าง
ง่ายก็คือๆ
ลองสังเกตพฤติกรรมและปฏิกิริยาที่เขาตอบโต้กลับมาว่าไปในทิศทางไหนอย่างนิ่งๆ
เพื่อจะได้อ่านเกมให้ขาด
เพราะด้วยธรรมชาติของผู้ชายส่วนใหญ่แล้วจะมีความเป็นสุภาพบุรุษแฝงอยู้ในตัวไม่มากก็น้อย
ดังนั้นเวลาที่เขารับรู้ว่ามีสาวมาชอบเขาและพยายามจีบเขาอยู่
แต่เขาไม่ได้รู้สึกชอบ และรู้สึกว่าเธอคนนั้นไม่ควรจะล้ำออกมาจากFriend Zoneล่ะก็ เขาจะแสดงออกทางการกระทำมากกว่าการพูดออกไปตรงๆ เพื่อไม่ให้ผู้หญิงเสียความรู้สึกมากเกินไปยกตัวอย่างเช่น เขาอาจจะปฏิเสธแบบอ้อมๆ
ด้วยการอยู่เป็นกลุ่มกับเพื่อนตลอด ไม่ว่าจะติวหนังสือ ทำการบ้าน
รวมถึงการไปไหนมาไหนกันก็ตาม เพื่อหลีกเลี่ยงการอยู่แบบสองต่อสอง หรือพอเริ่มสนิทกันมากจนเขารู้สึกได้ว่ามันเริ่มเกินคำว่าเพื่อน
แล้วเขาเริ่มมีการตีตัวออกห่างไปเรื่อยๆ
นั่นแหละคือการบอกปฏิเสธแบบรักษาน้ำใจของผู้ชายซึ่งเชื่อว่าทุกคนย่อมมีสัญชาตญาณที่สามารถรับรู้และประเมินผลได้อยู่แล้วว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นมีท่าทีไปในทางบวกหรือทางลบ
พอสาวๆ รู้ว่าท่าทีของเขาเป็นไปในทิศทางไหน
ก็ค่อยปฏิบัติการขั้นสุดท้ายต่อไป5. ถึงคราวปิดจ็อบ ถ้าไม่ฟอร์มท็อปก็แค่เท
หลังจากเช็คเรทติ้งจนพอที่จะประเมินสถานการณ์ได้แล้วว่าผลลัพธ์จะออกมาในทิศทางไหน
ก็มาถึงขั้นตอนสุดท้ายที่ต้องปิดจ็อบกันสักที
ในขั้นตอนนี้ขอบอกก่อนเลยว่ามันต้องใช้ การวัดใจไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ยังไงการได้พูดออกไป ก็ดีกว่าเก็บเงียบไว้ในใจตลอดกาลเพราะฉะนั้นสาวๆ ก็ลองพูดออกไปเลยว่า ?เราชอบเธอนะ คบกันมั้ย?ซึ่งผลที่ออกมาอาจสมใจอยาก
หรือไม่เป็นไปตามที่ตัวเองหวังไว้ก็ได้ ดังนั้นคิดซะว่า
ถ้าผลออกมาดีเราก็ได้กำไร แต่ถ้าผลออกมาไม่ดีก็ถือว่าเสมอตัวไปแล้วกัน
ส่วนใครที่คิดไตร่ตรองดูแล้ว ว่าไม่ควรพูดออกไปจะดีกว่า
ก็ไม่ควรมาเสียใจทีหลังนะจ๊ะ เพราะว่าเธอได้เลือกทำไปแล้วยังไม่จบเท่านี้ บางครั้งอาจมีเคสเพิ่มเติมอีกเรื่องคือ ผู้ชายบางคนอาจยังไม่รู้ใจตัวเอง
ว่ารู้สึกชอบฝ่ายหญิงไปแล้วเหมือนกัน พอบอกปฏิเสธผู้หญิงไปแล้ว อาจเพิ่งมารู้สึกหลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นเริ่มนิ่งเงียบไปจากชีวิต
อย่างไรก็ตามสำหรับเรื่องการจีบหนุ่มในโรงเรียนก่อนนั้น
ถ้าทำให้มันอยู่ในความพอดี ก็จะไม่เป็นเรื่องที่ดูเกินงาม
ส่วนเรื่องความรักในวัยเรียนนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่ผิด
เพียงแต่ว่าเหล่านักเรียนทั้งหลายต้องรู้จักจัดสรรปันส่วนในเรื่องของเวลาให้ลงตัว
รู้ว่าควรแบ่งเวลาให้กับการเรียนเท่าไหร่
และแบ่งเวลาให้กับความรักเท่าไหร่
ที่สำคัญอย่าทุ่มให้กับความรักมากเสียจนละเลยเรื่องการเรียน
เพราะถ้ามันอยู่ในสัดส่วนที่พอเหมาะ
ทุกอย่างมันก็จะดีงามตามท้องเรื่องไปเอง และที่อยากจะฝากไว้อีกอย่างคือ
สำหรับวัยรุ่น ซึ่งเป็นวัยที่มีอารมณ์อยู่เหนือเหตุผล
ดังนั้นถ้าผิดหวังในความรัก หรืออกหักจากคนรัก คนที่ชอบ
ก็อย่าคิดทำร้ายตัวเองกันเลยเนาะ
อย่าลืมว่าชีวิตของเรามีเรื่องให้ทำอีกตั้งเยอะแยะ
แถมยังต้องพบเจอเรื่องราวต่างๆ รวมถึงผู้คนอีกมากมายเลยนะจ๊ะ