25 Healthy Tips อย่ามองข้ามเรื่องเล็กๆ

อ่าน 8,504

รวมมาให้แล้วค่ะ 25 เคล็ดลับดีๆ สำหรับสาวๆ รักสุขภาพ

ซึ่งบางเคล็ดลับเป็นวิธีใกล้ตัวเราที่ทำให้สุขภาพดีได้

แต่เราอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อน อย่ารอช้า! มาดูกันเลยยยยย

1. การดื่มน้ำ ปริมาณ

มากในเวลาอันรวดเร็วอาจก่อให้เกิดสภาวะน้ำเป็นพิษเนื่องจากเลือดเจือจาง

ร่างกายจึงขับโปแตสเซียมออกจากเซลล์เพื่อปรับสมดุลระหว่างน้ำในเซลล์และนอก

เซลล์ ผลที่ตามมาคือเป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็ง หากเกิดอาการเกร็งที่สมอง

หัวใจ หรือปอด จะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้

แต่ไม่ต้องกังวลจนเกินไปเพราะหากดื่มน้ำทีละเล็กทีละน้อย

แม้ดื่มมากกว่าปกติก็ไม่เป็นอันตรายเพราะไตจะขับออกมาเป็นปัสสาวะ

และถ้าเมื่อไรมีอาการจุกนั่นแสดงว่าดื่มน้ำมากไป ควรหยุดได้แล้ว

2. การปล่อยให้ตนเองหิวอาจนำไปสู่โรคร้าย

เพราะ ความหิว กระตุ้นร่างกายให้หลั่งฮอร์โมนความเครียด

ซึ่งหากเกิดขึ้นเป็นประจำจะทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ

หรือเบาหวานได้ ลองควบคุมความหิวด้วยการแบ่งมื้ออาหารจากวันละ 3

มื้อเป็นมื้อเล็กๆ 5-6 มื้อต่อวัน

3. ชา กาแฟ รวมถึงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ไม่เหมาะกับผู้ที่มีอาการปวดหลัง เพราะคาเฟอีนลดการหลั่งสารเอนโดรฟีนซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่ร่างกายผลิตขึ้นและมีฤทธิ์ลดอาการปวดตามอวัยวะต่างๆ

4. วิธีง่ายๆ ในการดูแลสุขภาพ คือ

หลังจากตื่นนอนทุกเช้า จะดื่มน้ำส้มสายชูที่หมักจากผลแอ๊ปเปิ้ล

ผสมกับน้ำผึ้งอย่างละ 1 : 1

ใส่น้ำอุ่นคนให้เข้ากันแล้วค่อยเติมน้ำแข็งลงไปเพื่อให้ทานง่ายและมีรสชาติ

ดีขึ้น ซึ่งวิธีนี้จะไปช่วยการดูดซึมของระบบลำไส้ และการเผาผลาญของร่างกาย

แต่โรคบางโรคอาจเกิดจากสุขภาพจิตที่อ่อนแอ

ในหนึ่งอาทิตย์จึงควรจะมีวันพักผ่อนอย่างจริงจังหรือทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย

เช่น เล่นโยคะ เพื่อฟื้นฟูสุขภาพกายและลดมลภาวะทางจิตใจไปพร้อมๆ กัน

5. การนอนดึกคืนวันศุกร์-เสาร์แล้วตื่นสายในวันเสาร์-อาทิตย์

ทำให้นาฬิกาชีวภาพของร่างกายตั้งเวลาตื่นใหม่

เมื่อถึงวันจันทร์จึงมีอาการอิดเอื้อนไม่อยากตื่น

ทั้งยังทำให้ขาดสมาธิในการทำงานหรือเรียนหนังสืออีกด้วย

6. แสงแดดยามเช้า ไม่ได้ช่วยให้กระดูกแข็งแรงเท่านั้น แต่การออกกำลังกายกลางแดดใน ช่วงเวลาดังกล่าวยังช่วยให้ร่างกายผลิตสารเอนโดรฟีน ซึ่งเป็นสารต่อต้านอาการซึมเศร้าตามธรรมชาติอีกด้วย

7. ความเครียดเป็นตัวการทำลายผิวที่ร้ายแรงที่สุด ฉะนั้น

เราต้องปรับความคิดใหม่

และใช้ร่างกายเราอย่างทะนุถนอมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม หาเวลาออกกำลังกายบ้าง

และรับประทานอาหารดีๆ

8. แอ๊ปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวี มีประโยชน์ แต่ถ้าคุณรับประทานยาปฏิชีวนะอยู่ควรหลีกเลี่ยงผลไม้เหล่านี้เพราะบูดง่ายในลำไส้ อาจเกิดการอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้

9. การไอเรื้อรังอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยา

ปฏิชีวนะที่แพทย์สั่งเพื่อรักษาอาการหวัดไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้

ให้ใช้วิธีที่สุดแสนธรรมดาแต่ได้ผลมากกว่าคือ ดื่มน้ำบ่อยๆ

เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ อมยาอมให้ลำคอชุ่มชื่นอยู่ตลอดเวลา

และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานอย่างมี

ประสิทธิภาพ แค่นี้ก็หายแล้ว

10. การที่เราคิดว่าตัวเองมีสุขภาพดี แถมอายุยังน้อย ทำให้เราชะล่าใจในการดูแลรักษาสุขภาพ เวลาเกิดอะไรผิดปกติขึ้นกับร่างกายจะคิดว่าช่างมัน เดี๋ยวคงหายเอง ซึ่งไม่ถูกต้อง

11. เมื่อมีอาการเท้าและข้อเท้าบวม ให้

นั่งยองๆ ทุกวันๆ ละ 15 นาที แล้วขยับข้อเท้าไปข้าง หน้าและข้างหลัง

เพื่อช่วยให้โลหิตไหลเวียนได้ดีขึ้น

หลังจากนั้นใช้แปรงที่ขนทำจากวัสดุธรรมชาติ แปรงผิวหนังเบาๆ

เริ่มบริเวณฝ่าเท้าซึ่งเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วร่างกาย แล้วค่อยๆ

ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้อง แขนไปจนสุดที่มือทั้งสองข้าง

(ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวาน เพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล)

จากนั้นอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น

12. ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน และรับประทานไข่มากกว่าอาทิตย์ละ 1 ครั้ง เสี่ยงเป็นโรคหัวใจมากขึ้น

13. ผู้ที่รับประทานไข่ เป็นเวลา 8 อาทิตย์ ลด

น้ำหนักได้มากกว่าผู้ที่ไม่รับประทานถึง 65 เปอร์เซ็นต์

และรอบเอวลดลงเกือบสองเท่า

เพราะผู้ที่รับประทานไข่รู้สึกอิ่มกว่าการรับประทานขนมปัง

ทำให้รับประทานอาหารกลางวันและอาหารเย็นน้อยลง

14. การรับประทานอาหารไปดูหนังไป ทำ

ให้รับประทานอาหารมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

แม้ว่าจะกินอิ่มมาแล้วหรือรสชาติของอาหารไม่ได้เรื่องเลยก็ตาม

นอกจากนี้ไฟสลัวๆ ทำให้ผู้ที่รับประทานอาหารไม่ค่อยระวังตัว

เพลิดเพลินเจริญอาหารไปเรื่อย

15. เสียงเพลง มีอิทธิพลต่ออารมณ์ของคนเรายิ่งดนตรีมีจังหวะเร็วเท่าไรก็ยิ่งกระตุ้นให้รับประทานอาหารมากขึ้นเท่านั้น

16. การดื่มน้ำ (เปล่า)เย็น 50 ออนซ์ (8 ออนซ์= 1 ถ้วย) จะ

ช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรี เท่ากับช่วยให้น้ำหนักลดลงปีละ

5 ปอนด์หรือ 2.5 กิโลกรัม

เพราะการดื่มน้ำเปล่าไม่ทำให้ร่างกายได้รับพลังงาน

แต่ต้องใช้พลังงานในการเผาผลาญน้ำ

ยิ่งไปกว่านั้นน้ำเย็นทำให้ร่างกายต้องใช้พลังงานเผาผลาญมากขึ้นอีก

17. การออกกำลังกายด้วยการยกน้ำหนักและพิลาทิส ควบคู่กันไป จะช่วย

พัฒนาความแข็งแรงของปอดและหัวใจ รวมถึงความแข็งแรงและยืดหยุ่นของโครงสร้าง

และการรับประทานอาหารมื้อย่อยๆ 5 มื้อต่อวัน

โดยมื้อกลางวันจะเน้นอาหารประเภทโปรตีนเพียง 1 มื้อ นอกนั้นเน้นผักและผลไม้

จะทำให้มีพลังงานที่พอเหมาะในการใช้งาน และไม่ทิ้งไขมันส่วนเกินสะสม

18. ผู้ชายที่รับประทานมะเขือเทศ ซึ่งมีไลโคปีนสูงอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผลหรือมากกว่านั้น เสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ วิธีง่ายๆ ให้นำมะเขือเทศไปปั่นให้ละเอียดเติมน้ำมันมะกอกและนำไปปรุงสุก ความร้อนจะช่วยให้มะเขือเทศปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น

19. รับประทานแอ๊ปเปิ้ลหนึ่งชิ้นหลังอาหาร

ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลาย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญใน

การลดแบคทีเรียในช่องปากและช่วยให้เหงือกแข็งแรง

การรับประทานสับปะรดและมะละกอคือก่อนอาหารประมาณ 2-3 ชิ้น

ดีต่อกระเพาะอาหารเพราะมีเอนไซน์ซึ่งช่วยย่อย

จึงเท่ากับช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่ตามลงมาได้ง่ายขึ้น

20. หากไม่อยากมีกรดในกระเพาะมากเกินไป ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้นอย่างเช่นมะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุ๊ต หรือน้ำมะเขือเทศสดปั่น หรือทำให้เจือจางด้วยการผสมน้ำเข้าไป

21. สำหรับหนุ่มเจ้าสำราญ ที่

ชอบปาร์ตี้หามรุ่งหามค่ำ

ก็สามารถฟื้นฟูร่างกายได้ด้วยการนอนหลับให้นานหน่อย

อีกวิธีหนึ่งในการดูแลตัวเองคือมีแฟนเด็ก

จะได้มีแรงกระตุ้นให้เราทำตัวเด็กตาม ต้องดูดีตลอดเวลา เพราะฉะนั้นอบายมุข

การเที่ยวกลางคืนก็เป็นอันต้องงด

22. การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ โดย

เฉพาะเกมที่ต้องใช้สมาธิ

ช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ

ป้องกันโรคอัลเซเมอร์ได้ เกมอื่นๆ เช่น ปริศนาอักษรไขว้

หรือเลือกเรียนดนตรี ก็ช่วยได้เช่นกัน

23. การใช้พลาสติกใส่อาหารหรือปิดอาหาร รวมถึงใส่จานชามพลาสติกในไมโครเวฟ เพราะความร้อนจะทำให้พลาสติกปนเปื้อนในอาหาร เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม

24. ก่อนตั้งครรภ์ ควรเตรียมตัวล่วงหน้าประมาณ 3 เดือน 1.ดูแล

เรื่องอาหารการกิน เน้นโฟเลต แคลเซียม วิตามินต่างๆ

ป้องกันอาการแพ้ท้องหรืออยากอาหารประหลาดๆ 2.ร

ะวังเรื่องการรับประทานยาทุกชนิด อ่านฉลากให้ดี

เพราะอาจทำร้ายลูกโดยไม่เจตนา 3. ทำใจให้สบาย คิดในแง่บวก 4.

ออกกำลังกายที่เหมาะสม

25. ถ้ามื้อนั้นรับประทานเนื้อสัตว์ในปริมาณมาก ไม่

ควรรับประทานผลไม้อีก เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน

ทำให้ผลไม้ที่ย่อยเสร็จไปเรียบร้อยแล้วถูกกักอยู่ในกระเพาะ

เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้

ขอให้คนที่อ่าน ลองทำตาม แล้วก็ขอให้มีสุขภาพดีๆ ตามกันเลยจ้า



บทความแนะนำ


ผู้หญิงเที่ยวอินเดียสายการบินโลว์คอสท์เส้นทางบินใหม่ความรักแอร์เอเชียผู้ชายทรงผมทรงผมสั้นทรงผมประบ่าทรงผมถักเปียดูดวงดวงความรัก