10 ที่เที่ยวสตูล เพชรเม็ดงามแห่งทะเลอันดามัน
"สตูล"
ถือเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวไม่เคยเสื่อมคลาย
ซึ่งถึงแม้จะอยู่ห่างจากกรุงเทพมหานครถึง 973 กิโลเมตร
แต่ระยะทางก็ไม่ใช่ปัญหาในการเดินทางไปสัมผัสเมืองเล็ก ๆ มากเสน่ห์แห่งนี้
และเมื่อพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวภายในจังหวัดสตูลที่มีชื่อเสียง
ก็คงไม่พ้นสถานที่ท่องเที่ยวทางทะเลที่งดงาม โดยเฉพาะ เกาะตะรุเตา, เกาะหลีเป๊ะ หรือ หมู่เกาะอาดัง-ราวี ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปไกลถึงต่างประเทศเลยทีเดียว วันนี้เราเลยจะพาเพื่อน ๆ ไปทำความรู้จักกับจังหวัดสตูลให้มากยิ่งขึ้น กับ 10 ที่เที่ยวสตูล ที่เราหยิบมาแนะนำกันค่ะ
1. ถ้ำภูผาเพชร
มาเริ่มต้นกับสถานที่แรกนั่นก็คือ "ถ้ำภูผาเพชร"
ถ้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และใหญ่ติดอันดับ 4 ของโลก
ตั้งอยู่ในตำบลปาล์มพัฒนา อำเภอมะนัง จังหวัดสตูล
เมื่อเดินทางเข้าไปภายในถ้ำจะพบห้องโถงขนาดกว้าง เพดานถ้ำสูง ๆ
ที่เต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยที่ยังคงมีหยดน้ำเกาะตัวอยู่
และเมื่อกระทบกับแสงไฟก็จะส่องเป็นประกายอย่างสวยงาม
พร้อมทั้งมีการแบ่งชื่อแต่ละห้องตามลักษณะของธรณีสัณฐานที่พบออกเป็น 20
ห้อง เช่น "ห้องม่านเพชร" มีลักษณะคล้ายผ้าม่านแขวนอยู่, ห้องพญานาค มีหินงอกคล้ายงูใหญ่หรือพญานาค, ห้องปะการัง มีหินงอกหินย้อยคล้ายปะการังในทะเล
และถ้าสังเกตจากประเภทของหินงอก (Stalagmite) ก็จะมีชื่อต่าง ๆ
ตามรูปทรงที่พบเห็นมากถึง 31 แห่ง ส่วนประเภทหินย้อย (Stalactite)
ก็มีทั้งหมด 4 แห่ง และสุดท้ายคือประเภทเสาหิน (Column in Cavern)
ซึ่งเป็นส่วนของหินงอกและหินย้อยที่มาบรรจบกันแล้วมองดูคล้ายเสาค้ำยันเพดาน
ถ้ำกว่า 14 แห่ง นอกจากนี้ยังมีประเภทเสาหินที่มีลักษณะต่าง ๆ กัน เช่น
เสาเพชร หรือเสาหินย้อย หรือเสาค้ำสุริยัน รวมทั้งยังมีบ่อขั้นบันได
ที่มีลักษณะเหมือนชายน้ำตกหินปูนที่เป็นชั้น ๆ เหมือนขั้นบันไดอีกด้วย
ทั้งนี้สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจเดินทางไปเยือนที่ "ถ้ำภูผาเพชร" ควรเตรียมตัวก่อนเดินทางให้พร้อม
ทั้งไฟฉายติดตัวไปเพื่อส่องดูความงามภายในถ้ำ สวมใส่รองเท้าที่เดินสบาย
พร้อมสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว โทรศัพท์ 0
7472 0314-11
2. วัดชนาธิปเฉลิม
ภาพจาก ททท.
"วัดชนาธิปเฉลิม" หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า "วัดมำบัง" เป็นวัดแห่งแรกของเมืองสตูล ที่ตั้งอยู่บริเวณริมคลองมำบัง ถนนศุลกานุกูล
ตำบลพิมาน อำเภอเมืองสตูล
อีกทั้งยังเป็นศูนย์รวมชาวพุทธในจังหวัดสตูลที่มีอายุมากกว่า 100 ปีมาแล้ว
สำหรับการเดินทางมาท่องเที่ยวภายในจะพบกับพระอุโบสถที่มีลักษณะแปลกไปกว่า
ทั่วไป คือ มีลักษณะเป็นทรง 2 ชั้น
ชั้นล่างก่ออิฐถือปูนคู่กับชั้นบนซึ่งเป็นอาคารไม้
ใช้สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของพระสงฆ์
ส่วนชั้นล่างใช้เป็นศาลาการเปรียญ ด้านหน้าพระอุโบสถเป็นระเบียง
มีบันไดทั้ง 2 ด้าน
นอกจากนี้ยังเป็นวัดที่หน่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมศิลปกรรมท้องถิ่นจังหวัด
สตูลร่วมกับศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดสตูล โรงเรียนสตูลวิทยา
ประกาศเป็นเขตอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอีกด้วย
ทั้งนี้สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก วัดชนาธิปเฉลิม
โทรศัพท์ 0 7471 1996 หรือเฟซบุ๊ก โรงเรียนเทศบาล2-วัดชนาธิปเฉลิม สตูล
3. มัสยิดกลางจังหวัดสตูล หรือมัสยิดมำบัง
ภาพจาก ททท.
"มัสยิดมำบัง" ชื่อที่หลายคนรู้จักในชื่อเดิมคือ "มัสยิดเตองะห์" หรือ "มัสยิดอากีบี" ตั้งอยู่ในย่านตลาด เขตเทศบาลเมืองสตูล อำเภอเมือง ภายในออกแบบและตกแต่งในสถาปัตยกรรมแบบโดมเดียว คล้ายบัวตูม หรือ "เรือ" ในหมากรุกไทย บนยอดโดมมีสัญลักษณ์ดาวและพระจันทร์เสี้ยว
แสดงถึงสัญลักษณ์การเผยแพร่ศาสนาอิสลาม สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก 3 ชั้น
ชั้นใต้ดิน 1 ชั้น ใช้เป็นห้องประชุม และห้องสมุด, ชั้นกลางใช้ละหมาด
พื้นหินขัด ผนังก่ออิฐถือโปกปูน สลับอิฐโปร่งสีน้ำตาล เพื่อระบายอากาศ
ตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบ หลังคาเทคอนกรีตปูด้วยกระเบื้องดินเผา
โดมเป็นเฟือง 8 เฟือง ประดับกระจกสีทองจากอิตาลี
4. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสตูล คฤหาสน์กูเด็น
ภาพจาก ททท.
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสตูล หรือคฤหาสน์กูเด็น
ตั้งอยู่บริเวณถนนสตูลธานีซอย 5 ตรงข้ามกับสำนักงานที่ดินจังหวัดสตูล
สร้างเมื่อ พ.ศ. 2441 โดย พระยาภูมินารถภักดี
หรือตวนกูบาฮารุดดินบินตำมะหงง (ชื่อเดิม กูเด็น บินกูแม๊ะ)
เจ้าเมืองสตูลในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แล้วเสร็จในปี
พ.ศ. 2459
สำหรับคฤหาสน์หลังนี้เดิมสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจุล
จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คราวเสด็จเดินทางไปเมืองปักษ์ใต้แต่ไม่ได้ประทับแรม
และเคยใช้เป็นบ้านพักและศาลาว่าการเมืองสตูล จนในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
อาคารหลังนี้ถูกใช้เป็นกองบัญชาการทหารญี่ปุ่น ต่อมาปี พ.ศ. 2540-2543
กรมศิลปากรได้ปรับปรุงคฤหาสน์กูเด็นขึ้นใหม่ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น
ในรูปแบบแบบตะวันตกผสมผสานแบบไทยอย่าง
ประตูหน้าต่างรูปโค้งตามแบบสถาปัตยกรรมยุโรป
หลังคาทรงปั้นหยาแบบไทยใช้กระเบื้องดินเผารูปกาบกล้วย
บานหน้าต่างเป็นแผ่นไม้ชิ้นเล็ก ๆ เป็นเกล็ดแนวนอน
ช่องลมด้านบนตกแต่งรูปดาวตามลักษณะสถาปัตยกรรมแบบอิสลาม
ส่วนภายในอาคารก็มีการจัดนิทรรศการแสดงประวัติศาสตร์เมืองสตูล
วิถีชีวิตของชาวสตูลในด้านต่าง ๆ
เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมประเพณีและวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่น
ทั้งนี้สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถเข้าชมพิพิธภัณฑ์ได้ในวัน
พุธ-อาทิตย์ (ปิดทุกวันจันทร์, วันอังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์) เวลา
09.00-16.00 น. พร้อมทั้งสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊ก คฤหาสน์กูเด็น
5. แหลมตันหยงโปและหาดทรายยาว
แหลมตันหยงโปและหาดทรายยาว
ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่สวยงามของจังหวัดสตูลอีกหนึ่งแห่งที่ตั้ง
อยู่ทางปากอ่าวสตูล มีลักษณะเป็นแหลมที่ยื่นล้ำไปในทะเลอันดามัน
มีหาดทรายขาวสะอาดสวยงาม และเป็นที่อยู่อาศัยของหมู่บ้านชาวประมง
โดยจะพบเห็นสภาพชีวิตความเป็นอยู่ บ้านเรือนชาวบ้านโดยทั่วไปของชาวประมง
อาทิ การตากของทะเลริมหาด ถัดจากแหลมตันหยงโปไปไม่ไกลมากจะเป็นที่ตั้งของ "หาดทรายยาว" ชายหาดสวย ๆ ที่แตกต่างจากหาดทรายที่อื่นทั่วไป
เพราะที่นี่แวดล้อมไปด้วยทรายสีขาวเป็นแนวยาวเรียงคู่ขนานไปกับต้นหูกวางที่
ขึ้นอยู่ริมหาด อีกทั้งบริเวณหาดยังเต็มไปด้วยเปลือกหอย
ให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายภาพสวย ๆ อีกด้วย
6. ถ้ำเจ็ดคต
ภาพจาก ททท.
ถ้ำเจ็ดคต หรือ "ถ้ำสัตคูหา" ตั้งอยู่ภายในหมู่ที่
10 ตำบลน้ำผุด อำเภอละงู
เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถเดินทางไปได้ตลอดปี
ภายในถ้ำเจ็ดคตมีความกว้าง 70?80 เมตร ยาวประมาณ 600 เมตร แบ่งเป็น 7 ช่วง
(คูหา) ซึ่งมีบรรยากาศแตกต่างกัน และมีลำคลองไหลไปตามความคดเคี้ยวของตัวถ้ำ
ทำให้ระดับน้ำภายในถ้ำมีความตื้นลึกไม่เท่ากัน
โดยในช่วงหน้าแล้งน้ำลึกแค่ท่วมข้อเท้าเดินลุยไปได้อย่างสบาย
บางตอนอาจลึกเกิน 5 เมตร แต่ในช่วงหน้าฝน
มีน้ำหลากจะเดินทางเข้าไปได้ค่อนข้างยาก
นักท่องเที่ยวต้องเดินลัดเลาะไปตามริมผนังถ้ำ ดินลุยน้ำ
บางตอนเป็นหาดทรายผสมกรวดบ้าง
บางคูหามีพื้นที่เป็นโคลนเลนต้องระมัดระวังในการเดินเป็นพิเศษควรมีไฟฉายติด
ตัวไปด้วย
สำหรับถ้ำ
เจ็ดคตมีลักษณะพิเศษแตกต่างจากถ้ำอื่น ๆ
คือมีลำคลองลอดถ้ำคดเคี้ยวไปตามลักษณะธรรมชาติของตัวถ้ำมีถึง 7 คูหา
เป็นที่มาของชื่อถ้ำแห่งนี้ มีผู้ตั้งชื่อใหม่ว่า "ถ้ำสัตคูหา" พร้อมตั้งชื่อของแต่ละคูหา ดังนี้
? คูหาที่ 1 เรียกว่า "สาวยิ้ม" ผนังถ้ำมีสีเขียวมรกตมีหินงอกหินย้อยอยู่หน้าถ้ำ
? คูหาที่ 2 เรียกว่า "นางคอย" มีหินงอก หินย้อย สวยงาม และฝูงค้างคาวจำนวนมาก
? คูหาที่ 3 เรียกว่า "เพชรร่วง" ส่วนบนของผนังถ้ำมีช่องให้แสงอาทิตย์ส่องลอดลงมาได้ เมื่อแสงอาทิตย์กระทบกับผนังถ้ำจึงเกิดประกายแวววาวเหมือนเพชร
? คูหาที่ 4 เรียกว่า "เจดีย์สามยอด" พื้นทางเดินเป็นหิน ลักษณะคล้ายดอกกุหลาบ
? คูหาที่ 5 เรียกว่า "น้ำทิพย์" ตามผนังถ้ำเป็นหินย้อยสีขาวและน้ำตาล เป็นหลืบซ้อนกันมองดูคล้ายผ้าม่าน
? คูหาที่ 6 เรียกว่า "ฉัตรทอง" มีหินงอก หินย้อย ซ้อนเหลื่อมกันเป็นชั้นเสมือนฉัตร
? คูหาที่ 7 เรียกว่า " ส่องนภา" ภายในมีหินงอก หินย้อย รูปทรงคล้ายดอกบัวคว่ำ
ทั้งนี้สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 0 7521 5867,0 7521 1058
7. น้ำตกโตนปลิว
นอกจากทะเลสวย ๆ แล้วจังหวัดสตูลก็มีน้ำตกให้ท่องเที่ยวเช่นกัน นั่นก็คือ "น้ำตกโตนปลิว" ตั้งอยู่ในหมู่ที่ 1 ตำบลวังประจัน อำเภอควนโดน
บริเวณรอยต่อระหว่างป่าสงวนแห่งชาติหัวกาหมิง
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนงาช้าง
โดยมีบริเวณป่าต้นน้ำอยู่ที่ภูเขาหัวกาหมิง
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทิวเขานครศรีธรรมราช ลักษณะทั่วไปของ "น้ำตกโตนปลิว" ประกอบด้วยชั้นน้ำตก 5 ชั้น โดยชั้นหลักชื่อ "โตนลำพร้าว" มีหน้าผาน้ำตกสูงประมาณ 40 เมตร กลายเป็นแอ่งน้ำขัง ชื่อ "วังบ่อ" กับ "วังเตย" เป็นต้น ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่สามารถลงเล่นน้ำได้อย่างสบาย
ส่วนชั้นอื่น ๆ จะมีผาน้ำตกไม่ค่อยสูงนัก
ทั้งนี้นักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊ก เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนงาช้าง
8. เกาะไข่
"เกาะไข่" เอกลักษณ์ทางธรรมชาติที่สวยงามจนกลายเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดสตูล นั่นก็คือ "ซุ้มประตูหิน" ขนาด
สูงใหญ่สามารถเดินลอดได้
โดยมีความเชื่อว่าหนุ่มสาวที่ได้ลอดผ่านซุ้มประตูหินนี้จะได้แต่งงานกัน
ในช่วงเทศกาลวันวาเลน์ไทน์ของทุกปี
จังหวัดสตูลก็จะได้จัดให้มีการจดทะเบียนสมรสให้กับคู่บ่าวสาว ณ
บริเวณซุ้มเกาะไข่อีกด้วย
สำหรับที่ตั้งของเกาะไข่แห่งนี้ตั้งอยู่ระหว่างเกาะอาดังกับเกาะราวี
ถือเป็นอีกหนึ่งเกาะที่มีชายหาดที่สวยงาม สะอาดเหมือนสีของเปลือกไข่
น้ำทะเลใส อีกทั้งยังเป็นเกาะที่มีความสำคัญทางระบบนิเวศ
เพราะบริเวณชายหาดของเกาะมักจะมีเต่าทะเลชอบขึ้นมาวางไข่เสมอ
และบริเวณรอบเกาะยังมีความอุดมสมบูรณ์ซึ่งเป็นแหล่งอาหารของปลาอีกด้วย
โดยทางอุทยาน ไม่อนุญาตให้พักแรมบนเกาะ
9. เกาะลิดี
ภาพจาก ททท.
เกาะลิดี ประกอบด้วยเกาะสำคัญ 2 เกาะ คือ
เกาะลิดีใหญ่และเกาะลิดีน้อย และมีเกาะเล็ก ๆ
เสมือนบริวารตั้งอยู่ใกล้เคียงอีก 3?4 เกาะ
ตั้งอยู่ภายในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา หมู่ที่ 4 ตำบลปากน้ำ
อยู่ไม่ไกลจากอ่าวนุ่น ห่างจากฝั่งหมู่บ้านหัวหินประมาณ 1 กิโลเมตร
สำหรับคำว่า "ลิดี" เป็นภาษามลายูแปลว่า "ไม้เรียว"
อย่างไรก็ตามเสน่ห์ของเกาะลิดีที่หลายคนอยากไปสัมผัสคือความอุดมสมบูรณ์ของ
ธรรมขาติ ทั้งหาดทราย, ป่าไม้บนภูเขา และป่าชายเลน
มีหน้าผาและถ้ำเป็นที่อาศัยของนกนางแอ่น หาดทรายขาว
และมีเวิ้งอ่าวยื่นเข้าไปในเกาะ เหมาะสำหรับเล่นน้ำทะเล
รวมทั้งโขดหินที่มีรูปร่างประหลาดตามริมหาด
และเมื่อน้ำลดสามารถเดินเที่ยวลัดเลาะไปตามชายหาดและเขาหินเล็ก ๆ ได้
ส่วนการเดินทางไปเที่ยวที่เกาะลิดีใช้วิธีการไป-กลับก็ได้
หรือถ้าจะค้างคืนทางอุทยาน ก็มีบ้านพักสำหรับนักท่องเที่ยว
และมีสถานที่สำหรับกางเต็นท์พักแรมไว้บริการเช่นกัน
ทั้งนี้สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางไปจะต้องติดต่อกับทางอุทยาน
อีกทีหนึ่ง
10. เกาะหินงาม
สุดท้ายกับ "เกาะหินงาม"
แหล่งท่องเที่ยวขนาดเล็กทางทิศใต้ของเกาะอาดัง
ที่มีความโดดเด่นบริเวณชายหาดที่เต็มไปด้วยหินสีดำกลมเกลี้ยง
ซึ่งมีลวดลายสวยงาม ขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกันไป
เมื่อโดนคลื่นซัดก้อนหินจะมีความมันวาว
ส่วนบริเวณกลางเกาะจะมีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้สีเขียว
อีกทั้งยังมีความเชื่อเล่ากันว่าหินทุกก้อนมีคำสาปของเจ้าพ่อตะรุเตา
หากใครนำติดตัวไปจะเกิดหายนะ O__O
เรียกได้ว่าครบเครื่องจริง ๆ สำหรับที่เที่ยวจังหวัดสตูล
มีทั้งสถานที่ท่องเที่ยวทะเล ถ้ำ หรือแม้แต่วัฒนธรรมที่งดงาม
ว่าแล้วก็อย่ารอช้าเก็บข้าวของแล้วแบกเป้ออกเดินทางไปเที่ยวสตูล
อีกหนึ่งจังหวัดท่องเที่ยวของไทยที่ไม่ควรพลาดกันดีกว่าค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ททท