อันตราย! กินยาสลายไขมันมากไป เสี่ยงมะเร็งและความจำเสื่อม
โรคหัวใจเป็นสาเหตุหลักที่คร่าชีวิตชาวอเมริกันและเป็นเหตุผลที่ทำให้ชาวอเมริกันเสียชีวิต 610,000 คนต่อปี ซึ่งมีทฤษฎียอดนิยมเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นสูงของคอเลสเตอรอลที่นำไปสู่การเป็นโรคหัวใจ และการแก้ปัญหาของหลายคนคือการใช้ยาเพื่อลดการเกิดภาวะการเป็นโรคหัวใจ
โชคร้ายนักที่พบว่าชาวอเมริกันส่วนใหญ่ใช้ยาสลายคอเลสเตอรอลชื่อ Statins ซึ่งไม่ได้ช่วยลดอย่างสรรพคุณที่กล่าว แต่แย่กว่านั้นคือมันส่งผลข้างเคียงอันใหญ่หลวงนำไปสู่การเกิดมะเร็ง
ผลข้างเคียงของยาลดไขมัน (STATINS)
สตาตินส์ เป็นยาที่ใช้ลดระดับค่า LDL หรือคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีซึ่งส่งผลให้เกิดโรคหัวใจ แม้มันจะถูกสร้างมาเพื่อลดระดับคอเลสเตอรอลแต่จากการศึกษาก็ยังพบว่ายากลุ่มนี้ใช้ไม่ได้ผล
จากการศึกษาหนึ่งที่ตีพิมพ์วารสารสุขภาพ Vascular Health and Risk Management พบว่ายาลดไขมันกลุ่ม Statins ไม่สามารถลดระดับคอเลสเตอรอลแก่ผู้ป่วยโรคหัวใจได้ ตามที่ผู้ผลิตยาชนิดนี้บอกว่ายาจะสามารถลดระดับคอเลสเตอรอลได้เพียงร้อยละ18 จากผู้ทดสอบทั้งหมด ซึ่งหมายความว่ายากลุ่มนี้จะใช้ไม่ได้ผลกว่าร้อยละ80
อย่างไรก็ตามแม้จะมีปัญหาแต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งความไม่มีประสิทธิภาพของยาได้ ผลข้างเคียงของยามีดังนี้
- ท้องร่วง
- ผื่นคัน
- ง่วงนอน
- ท้องผูก
- น้ำตาลในเลือดสูง
- สูญเสียความจำ
- เพิ่มความเสี่ยงของโรคเบาหวานประเภทที่ 2
มีการศึกษาตีพิมพ์ในวารสารเกี่ยวกับเนื้องอกวิทยาในยุคปัจจุบันพบว่า ยาลดไขมันเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง ผู้สูงอายุและผู้ที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากหรือมะเร็งเต้านมจะมีความเสี่ยงสูงขึ้นถ้าใช้กลุ่มยาชนิดนี้ นักวิจัยยังพบอีกว่ายากลุ่มนี้อาจจะทำให้เกิดการลุกลามของเนื้องอกในผู้ที่เป็นโรคมะเร็งกระเพราะปัสสาวะอีกด้วย กล่าวได้ว่าเหตุผลที่ยาลดไขมันทำให้เกิดมะเร็งและส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย นักวิจัยยังบอกอีกว่ายาลดไขมันนั้นเพิ่มการเกิดของเม็ดเลือดขาวซึ่งไว้ใช้ต่อสู้กับเชื้อโรค แต่กลับทำให้ภูมิคุ้มกันชนิดอื่นๆในร่างกายอ่อนแอลงและพันฒาเป็นมะเร็งท้ายที่สุด
คอเลสเตอรอลและร่างกาย
หลายคนบริโภคยาสลายไขมันหรือยาประเภทใกล้เคียงเพราะเรื่องคอเลสเตอรอลที่มักจะส่งต่อร่างกาย และเชื่ออีกว่าคอเลสเตอรอลเป็นปัญหาต่อเส้นเลือดอุดตันทำให้เกิดโรคหัวใจ ดร.เบพเวอลี่ ทีเตอร์ นักชีวเคมีด้านไขมันมหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์กล่าวว่าเป็นเพราะความผิดพลาดของนักวิทยาศาสตร์หลายปีก่อน
ดร.ทีเตอร์เชื่อว่าคอเลสเตอรอลไม่ใช่เหตุของการเป็นโรคหัวใจ เพราะนักวิทยาศาสตร์สังเกตว่าระดับคอเรสเตอรอลที่สูงขึ้นในเส้นเลือดที่ได้รับความเสียหาย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็เชื่ออีกว่าคอเรสเตอรอลเป็นส่วนช่วยในการแก้ปัญหาการเกิดการอักเสบมากกว่า
เธอบอกว่าการบาดเจ็บเริ่มจากอักเสบ ร่างกายจึงส่งคอเลสเตอรอลไปช่วยปกคลุมเพื่อป้องกันระบบเลือดไม่ให้ผนังหลอดเลือดเสียหายเพิ่ม
การป้องกันการเกิดโรคหัวใจนั้น ดร.ทีเตอร์ยังแนะนำว่าควรเลี่ยงอาหารไขมันต่ำ แต่เลือกอาหารที่มีคุณสมบัติเสริมสร้างภูมิคุ้มกันต้านการอักเสบ เช่น โอเมก้า 3 กรดไขมันอิ่มตัว และไขมันธรรมชาติ อาหารประเภทอื่นๆก็ไม่ควรเป็นไขมันทรานด์พบในอาหารทอดและขนมอบ
นี่คือประเภทอาหารที่มีคุณค่าสูงต้านการอักเสบ
- ไข่ไก่
- น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์
- ถั่วฮิกเกอรี่
- ถั่ววอลนัท
- ถั่วพีแคน
- ปลาแซลมอนป่า
- ถั่วแระญี่ปุ่น
อย่าลืมทานอาหารเหล่านี้ด้วย และในขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะหลีกเลี่ยงอาหารดังต่อไปนี้เพราะมันจะทำให้เกิดการอักเสบมากขึ้น
- เนยเทียม
- อาหารทอด
- ขนมขบเคี้ยว
- พาย
- น้ำตาลไอซิ่ง
- ครีมนมเทียม
พยายามหลีกเลี่ยงไขมันทรานส์อาหารทอดหนักๆ อาการเหล่านี้เป็นเหตุให้เกิดการอักเสบและเพิ่มระดับคอเลสเตอรอล การรวมของสภาวะทั้งสองอย่างนี้จะเพิ่มความเสี่ยงพัฒนาการเกิดโรคหัวใจ