5 สัญญาณบอกชัด คุณออกกำลังกายลดน้ำหนักเบาไป ไม่ผอมง่าย ๆ แน่ !
1. ออกกำลังกายแต่เหงื่อไม่ออก
การออกกำลังกายให้ได้เบิร์น ให้เห็นผลจริง ๆ
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลาที่ใช้ออกกำลังกาย
แต่ขึ้นอยู่กับจังหวะการเต้นของหัวใจในระดับที่ร่างกายจะได้เผาผลาญ
หรือเที่เรียกว่า Maximum heart rate
ซึ่งอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุดนี้ก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละคน
โดยสามารถคำนวณได้จากสูตร 220-อายุของเรา หรืออาจสังเกตง่าย ๆ
จากปริมาณเหงื่อในระหว่างออกกำลังกาย
เพราะหากร่างกายไม่ได้ออกแรงจนอัตราการเต้นของหัวใจถึงจุดที่เริ่มเผาผลาญ
ร่างกายก็จะไม่ค่อยขับเหงื่อออกมาสักเท่าไร
ดังนั้นหากคุณก็เป็นคนที่ออกกำลังกายแต่เหงื่อไม่ค่อยออกเลย
ลองมาออกกำลังกายบนลู่วิ่งหรือเครื่องออกกำลังกายชนิดที่แสดงอัตราการเต้นของหัวใจให้ดูก่อนก็ได้ค่ะ
แล้วคอยจับสังเกตว่าเราต้องวิ่งด้วยความเร็วประมาณเท่าไร
อัตราการเต้นของหัวใจถึงจะเข้าขั้นได้เบิร์น
2. ออกกำลังกายไปคุยไป ทำได้ชิล ๆ
การมีเพื่อนไปออกกำลังกายเป็นเรื่องที่ดีตราบเท่าที่คุณไม่ได้โฟกัสผิดจุด
เพราะอย่าลืมว่าการออกกำลังกายให้ร่างกายได้เผาผลาญ
นอกจากปริมาณเหงื่อที่ออกมาจากร่างกายแล้ว
จุดสังเกตอย่างหนึ่งคือเราจะไม่สามารถพูดได้เกิน 5 คำ หรืออย่างน้อย ๆ
การพูดของเราต้องไม่ใช้การพูดชิล ๆ แบบปกติ
แต่จะเป็นเสียงพูดที่ปนเสียงหอบแฮ่ก ๆ ออกมา
ฉะนั้นหากการออกกำลังกายของคุณเป็นการออกกำลังกายชนิดที่เหนื่อยเพราะคุย
แบบนี้คงไม่ค่อยได้เบิร์นสักเท่าไรแน่ ๆ
ถ้าอย่างนั้นการออกกำลังกายครั้งต่อไป
ก็พยายามมีสมาธิกับสิ่งที่กำลังทำกันหน่อยนะคะ
3. ไม่รู้สึกเหนื่อย ไม่รู้สึกปวดเมื่อยหลังออกกำลังกายเลย
หลังออกกำลังกายแล้วไม่รู้สึกปวดเมื่อยหรือเหนื่อยเลย
นั่นหมายความว่ากล้ามเนื้อไม่ได้ถูกใช้งาน
อัตราการเต้นของหัวใจก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสักเท่าไร
ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่าร่างกายไม่น่าจะได้เบิร์นแน่ ๆ
ดังนั้นแทนที่จะออกกำลังกายแบบเดิมต่อไป ลองศึกษาวิธีออกกำลังกายที่ถูกต้อง
หรือไม่ก็เพิ่มความเข้มข้นให้การออกกำลังกายของตัวเองจนถึงจุดที่รู้สึกได้ว่าได้เผาผลาญพลังงานสะสมออกไปบ้างดีกว่า
4. ออกกำลังกายหลายชนิดต่อวัน
การออกกำลังกายที่หลากหลายเป็นสิ่งที่ดีต่อร่างกาย
เพราะจะได้บริหารกล้ามเนื้อให้ครบทุกส่วน
ทว่าก็ไม่ได้หมายความว่าเราควรต้องออกกำลังกายหลาย ๆ ชนิดในวันเดียวนะคะ
เพราะการออกกำลังกายแต่ละอย่าง
บริหารกล้ามเนื้อในแต่ละส่วนควรต้องออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า
20 นาทีเป็นอย่างต่ำ ดังนั้นหากคุณวิ่ง 10 นาที ปั่นจักรยาน 10 นาที
แล้วมาโยคะอีก 20 นาที ร่างกายก็คงตามกิจกรรมที่เราทำไม่ทัน
กลายเป็นว่ากล้ามเนื้อก็ไม่ได้ถูกบริหารอย่างที่ควรจะเป็น
ไขมันก็ไม่ถึงจุดที่จะได้เบิร์นอย่างที่ตั้งใจ
ดังนั้นหากจะออกกำลังกายก็ควรโฟกัสกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งไปเป็นอย่าง ๆ
ดีกว่า แล้ววันอื่น ๆ จะลองออกกำลังกายชนิดใหม่ ๆ ก็ไม่ว่ากัน
5. เหนื่อยยังไงก็ไม่เห็นผล
จุดพีคของการออกกำลังกายที่ทุกคนต้องเจอและผ่านมันไปให้ได้คือจุดที่ออกกำลังกายมาสักระยะแต่กลับไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวเองสักเท่าไร
ซึ่งหลายคนก็มักจะถอดใจและเลิกออกกำลังกายไปเลย แต่ลองวิธีนี้ดีกว่าไหมคะ
หากคุณคิดว่าออกกำลังกายไปก็เหนื่อยเปล่า แถมไม่เห็นผล
ลองเพิ่มเวลาออกกำลังกายให้นานขึ้นอีกนิด
หรือจากที่เคยออกกำลังกายวันละครั้ง ก็เพิ่มรอบเป็น 2 ครั้งต่อวัน
อ้อ...แต่ทั้งนี้ก็อย่าลืมควบคุมอาหารไปพร้อมกันด้วยล่ะ
นอกจากนี้หากสภาพแวดล้อมในการออกกำลังกายไม่เอื้ออำนวย เช่น
ห้องคับแคบเกินไป หรือเป็นตัวคุณเองที่ออกกำลังกายไปเซลฟี่ไป
จนดูเหมือนว่าจะได้ถ่ายรูปมากกว่าออกกำลังกายซะด้วยซ้ำ
แบบนี้หากจะหวังให้ร่างกายได้เบิร์นก็คงยากแบบไม่ต้องสืบ
แล้วก็อย่างที่บอกไปตอนต้นด้วยว่า
ในระหว่างที่ออกกำลังกายก็ควรควบคุมอาหารไปด้วย
เพราะต่อให้ออกกำลังกายหนักและบ่อยเพียงไร แต่หากยังกินเหมือนเดิม
กินเท่าเดิม การออกกำลังกายก็คงจะไม่ช่วยในเรื่องลดน้ำหนักหรอกนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
prevention
health