5 สัญญาณบอกชัด คุณออกกำลังกายลดน้ำหนักเบาไป ไม่ผอมง่าย ๆ แน่ !

อ่าน 14,203

1. ออกกำลังกายแต่เหงื่อไม่ออก

การออกกำลังกายให้ได้เบิร์น ให้เห็นผลจริง ๆ

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลาที่ใช้ออกกำลังกาย

แต่ขึ้นอยู่กับจังหวะการเต้นของหัวใจในระดับที่ร่างกายจะได้เผาผลาญ

หรือเที่เรียกว่า Maximum heart rate

ซึ่งอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุดนี้ก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละคน

โดยสามารถคำนวณได้จากสูตร 220-อายุของเรา หรืออาจสังเกตง่าย ๆ

จากปริมาณเหงื่อในระหว่างออกกำลังกาย

เพราะหากร่างกายไม่ได้ออกแรงจนอัตราการเต้นของหัวใจถึงจุดที่เริ่มเผาผลาญ

ร่างกายก็จะไม่ค่อยขับเหงื่อออกมาสักเท่าไร

ดังนั้นหากคุณก็เป็นคนที่ออกกำลังกายแต่เหงื่อไม่ค่อยออกเลย

ลองมาออกกำลังกายบนลู่วิ่งหรือเครื่องออกกำลังกายชนิดที่แสดงอัตราการเต้นของหัวใจให้ดูก่อนก็ได้ค่ะ

แล้วคอยจับสังเกตว่าเราต้องวิ่งด้วยความเร็วประมาณเท่าไร

อัตราการเต้นของหัวใจถึงจะเข้าขั้นได้เบิร์น

2. ออกกำลังกายไปคุยไป ทำได้ชิล ๆ

การมีเพื่อนไปออกกำลังกายเป็นเรื่องที่ดีตราบเท่าที่คุณไม่ได้โฟกัสผิดจุด

เพราะอย่าลืมว่าการออกกำลังกายให้ร่างกายได้เผาผลาญ

นอกจากปริมาณเหงื่อที่ออกมาจากร่างกายแล้ว

จุดสังเกตอย่างหนึ่งคือเราจะไม่สามารถพูดได้เกิน 5 คำ หรืออย่างน้อย ๆ

การพูดของเราต้องไม่ใช้การพูดชิล ๆ แบบปกติ

แต่จะเป็นเสียงพูดที่ปนเสียงหอบแฮ่ก ๆ ออกมา

ฉะนั้นหากการออกกำลังกายของคุณเป็นการออกกำลังกายชนิดที่เหนื่อยเพราะคุย

แบบนี้คงไม่ค่อยได้เบิร์นสักเท่าไรแน่ ๆ

ถ้าอย่างนั้นการออกกำลังกายครั้งต่อไป

ก็พยายามมีสมาธิกับสิ่งที่กำลังทำกันหน่อยนะคะ

3. ไม่รู้สึกเหนื่อย ไม่รู้สึกปวดเมื่อยหลังออกกำลังกายเลย

หลังออกกำลังกายแล้วไม่รู้สึกปวดเมื่อยหรือเหนื่อยเลย

นั่นหมายความว่ากล้ามเนื้อไม่ได้ถูกใช้งาน

อัตราการเต้นของหัวใจก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสักเท่าไร

ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่าร่างกายไม่น่าจะได้เบิร์นแน่ ๆ

ดังนั้นแทนที่จะออกกำลังกายแบบเดิมต่อไป ลองศึกษาวิธีออกกำลังกายที่ถูกต้อง

หรือไม่ก็เพิ่มความเข้มข้นให้การออกกำลังกายของตัวเองจนถึงจุดที่รู้สึกได้ว่าได้เผาผลาญพลังงานสะสมออกไปบ้างดีกว่า

4. ออกกำลังกายหลายชนิดต่อวัน

การออกกำลังกายที่หลากหลายเป็นสิ่งที่ดีต่อร่างกาย

เพราะจะได้บริหารกล้ามเนื้อให้ครบทุกส่วน

ทว่าก็ไม่ได้หมายความว่าเราควรต้องออกกำลังกายหลาย ๆ ชนิดในวันเดียวนะคะ

เพราะการออกกำลังกายแต่ละอย่าง

บริหารกล้ามเนื้อในแต่ละส่วนควรต้องออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า

20 นาทีเป็นอย่างต่ำ ดังนั้นหากคุณวิ่ง 10 นาที ปั่นจักรยาน 10 นาที

แล้วมาโยคะอีก 20 นาที ร่างกายก็คงตามกิจกรรมที่เราทำไม่ทัน

กลายเป็นว่ากล้ามเนื้อก็ไม่ได้ถูกบริหารอย่างที่ควรจะเป็น

ไขมันก็ไม่ถึงจุดที่จะได้เบิร์นอย่างที่ตั้งใจ

ดังนั้นหากจะออกกำลังกายก็ควรโฟกัสกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งไปเป็นอย่าง ๆ

ดีกว่า แล้ววันอื่น ๆ จะลองออกกำลังกายชนิดใหม่ ๆ ก็ไม่ว่ากัน

5. เหนื่อยยังไงก็ไม่เห็นผล

จุดพีคของการออกกำลังกายที่ทุกคนต้องเจอและผ่านมันไปให้ได้คือจุดที่ออกกำลังกายมาสักระยะแต่กลับไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวเองสักเท่าไร

ซึ่งหลายคนก็มักจะถอดใจและเลิกออกกำลังกายไปเลย แต่ลองวิธีนี้ดีกว่าไหมคะ

หากคุณคิดว่าออกกำลังกายไปก็เหนื่อยเปล่า แถมไม่เห็นผล

ลองเพิ่มเวลาออกกำลังกายให้นานขึ้นอีกนิด

หรือจากที่เคยออกกำลังกายวันละครั้ง ก็เพิ่มรอบเป็น 2 ครั้งต่อวัน

อ้อ...แต่ทั้งนี้ก็อย่าลืมควบคุมอาหารไปพร้อมกันด้วยล่ะ

นอกจากนี้หากสภาพแวดล้อมในการออกกำลังกายไม่เอื้ออำนวย เช่น

ห้องคับแคบเกินไป หรือเป็นตัวคุณเองที่ออกกำลังกายไปเซลฟี่ไป

จนดูเหมือนว่าจะได้ถ่ายรูปมากกว่าออกกำลังกายซะด้วยซ้ำ

แบบนี้หากจะหวังให้ร่างกายได้เบิร์นก็คงยากแบบไม่ต้องสืบ

แล้วก็อย่างที่บอกไปตอนต้นด้วยว่า

ในระหว่างที่ออกกำลังกายก็ควรควบคุมอาหารไปด้วย

เพราะต่อให้ออกกำลังกายหนักและบ่อยเพียงไร แต่หากยังกินเหมือนเดิม

กินเท่าเดิม การออกกำลังกายก็คงจะไม่ช่วยในเรื่องลดน้ำหนักหรอกนะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

prevention

health



บทความแนะนำ


ดูดวงข่าวบันเทิงวันนี้ความเชื่อเนยโชติกาเนยชุดว่ายน้ำโชติกาสถาปัตยกรรมแบบยุโรปBangkokศูนย์การค้าเกตเวย์ทรงผมทรงผมสั้นทรงผมประบ่าทรงผมถักเปียดูดวงดวงความรัก