อาหาร กับ ไตรกลีเซอไรด์ มีความสำคัญอย่างไรกับร่างกาย?
มารู้จักไตรกลีเซอไรด์กันเถอะ
ไตรกลีเซอไรด์คือไขมันที่ประกอบด้วยกรดไขมัน 3 ชนิดมารวมตัวกัน
ซึ่งได้รับจากอาหารที่เรารับประทานและร่างกายสร้างขึ้นเอง
เมื่อเรากินอาหารประเภทนี้เข้าไป ร่างกายจะดูดซึมแล้วก็ขนส่งไตรกลีเซอไรด์
ผ่านเลือดส่งไปยังเซลล์ต่างๆที่ต้องการพลังงาน
ไตรกลีเซอไรด์ที่มากเกินไปจะถูกส่งไปเก็บไว้ที่เนื้อเยื่อไขมัน (body fat)
แล้วพอกพูนตามส่วนต่างๆของร่างกายจนร่างกายอ้วนขึ้น
นอกจากนี้ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดหลอดเลือดหัวใจตีบได้การวินิจฉัยโรคไตรกลีเซอไรด์สูง
โดยปกติร่างกายขจัดไตรกลีเซอไรด์ออกจากเลือดได้อย่างรวดเร็ว
เพียงแค่สองสามชั่วโมงหลังจากการกินอาหาร
ไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ส่วนใหญ่ก็ถูกขจัดออกจากเลือดเข้าสู่เซลล์ได้
คนทั่วไปจึงมีไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดไม่สูง คือ ประมาณ 50-150
มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรแต่ถ้าทำการเจาะเลือดตรวจวัดระดับไตรกลีเซอไรด์หลังจากงดอาหารแล้วไม่น้อยกว่า
12 ชั่วโมงแล้ว มีค่าเกิน 150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
แสดงว่าร่างกายมีปัญหาในการขจัดไตรกลีเซอไรด์ไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงมีอันตรายอย่างไร
1.ปื้นเหลืองที่ผิวหนัง เป็นเม็ดพุพอง ถ้ามีระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงมากกว่า 1,000 มก./ดล.
2.ปวดท้องและอาจรุนแรงถึงขั้นตับอ่อนอักเสบได้
3.ตับโต ม้ามโต
4.หลอดเลือดแดงแข็งและเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจปัจจัยที่ทำให้ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
1.รับประทานอาหารไม่ถูกสัดส่วน ชอบรับประทานอาหารจำพวกข้าว-แป้ง
อาหารรสหวานจัด เครื่องดื่มรสหวาน รับประทานผลไม้ปริมาณครั้งละมากๆ
ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานหรือแคลอรี่มากเกินไป
จึงนำไปสร้างไตรกลีเซอไรด์แล้วขับเข้าสู่กระแสเลือดในปริมาณมาก
2.ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ในปริมาณมากเป็นประจำ จึงกระ
ตุ้นตับให้ผลิตไตรกลีเซอไรด์มากขึ้น
และยังทำให้การเคลื่อนย้ายไขมันออกจากเลือดช้ากว่าปกติด้วย
3.มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน
4.มีโรคประจำตัวเช่น โรคเบาหวาน โรคไต
5.มีการใช้ยาบางชนิดเช่น ยาคุมกำเนิด ยาฮอร์โมน ยาsteroid
6.พันธุกรรม
7.ไม่ออกกำลังกายอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
1.อาหารที่ไขมันสูง เช่น หนังสัตว์ ของทอด แกงกะทิ
2.อาหารรสหวานจัด เช่น น้ำหวาน น้ำอัดลม ขนมหวาน เบเกอรี่ พาย คุ้กกี้ ไอศกรีม เป็นต้น
3.เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ทุกชนิดการป้องกันและบำบัดรักษา
1.หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง
เนื่องจากอาหารประเภทไขมันโดยส่วนใหญ่จะมีไขมันไตรกลีเซอไรด์
ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันพืช ไขมันสัตว์หรือไขมันที่ซ่อนอยู่ในเนื้อ นม เป็นต้น
2.ควบคุมปริมาณอาหารประเภทข้าว-แป้ง เช่น ข้าว ขนมปัง เบเกอรี่ เส้นก๋วยเตี๋ยว สาคู เผือก มัน ฟักทอง เป็นต้น
3.ลดปริมาณอาหารที่มีรสหวานจัด ขนมหวาน เครื่องดื่มรสหวาน น้ำอัดลม ผลไม้รสหวาน เช่น ทุเรียน ขนุน เป็นต้น
4.ลดเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์
5.ลดน้ำหนักในผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน
6.ออกกำลังกายสม่ำเสมอที่มาข้อมูลสุขภาพ จาก โรงพยาบาลรามคำแหง www.ram-hosp.co.th