สาระความรู้เรื่อง แพ้เครื่องสำอาง !!
สาวๆ คงจะไม่ปฏิเสธว่าสมัยนี้เครื่องสำอางเข้ามามีบทบาทมาก จะสวยเริ่ด
เชิดเป๊ะ ก็ต้องแต่งเสริมเติมสวยกันหน่อย แต่ก็ยังมีสิ่งที่ต้องระมัดระวัง
คือการแพ้เครื่องสำอาง มารู้เกี่ยวกับการแพ้เครื่องสำอาง
เพื่อจะได้ระมัดระวัง และเลือกใช้เครื่องสำอางได้อย่างถูกต้องทดสอบ ว่าแพ้เครื่องสำอางหรือไม่ !!
การแพ้เครื่องสำอางพบได้บ่อยในกรณีที่ซื้อเครื่องสำอางยี่ห้อใหม่มาใช้แล้วเกิดอาการที่คิดว่าแพ้เครื่องสำอางขึ้น
ส่วนใหญ่ก็เพียงแค่เลิกใช้เครื่องสำอางยี่ห้อนั้นไป โดยไม่ได้ไปพบแพทย์
ทำให้ไม่ทราบว่าจริง ๆ
แล้วตัวเองแพ้สารใดในเครื่องสำอางกันแน่ราวครึ่งหนึ่งของการแพ้เครื่องสำอางเกิดขึ้นบนใบหน้ารวมทั้งบริเวณเปลือกตา
และ 80% พบในเพศหญิง ซึ่งส่วนประกอบ 3
ตัวหลักในเครื่องสำอางที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ได้แก่ น้ำหอม สารกันบูด และน้ำยาย้อมผมการทดสอบว่าแพ้เครื่องสำอาง..
การที่เราจะวินิจฉัยได้อย่างถูกต้องว่า
ผื่นที่ผิวหนังนั้นเกิดจากการแพ้เครื่องสำอาง
ก็โดยการทดสอบทางผิวหนังที่เรียกว่า Patch Test
โดยการทำสารที่สงสัยมาแปะติดที่ผิวหนังแล้วตรวจดูในเวลาต่อมาว่ามีผื่นเกิดขึ้นหรือไม่ในบริเวณนั้นทาผิวหนังโดยตรง
การทดสอบ Patch Test นี้ทำได้หลายวิธี วิธีง่ายๆ คือ
นำเครื่องสำอางที่คิดว่าเป็นต้นเหตุที่ก่อให้เกิดอาการแพ้มาทากับผิวหนังโดยตรง
บริเวณที่นิยมใช้คือ บริเวณข้อพับแขน โดยการทาเครื่องสำอางบริเวณนั้นวันละ
2 ครั้งเป็นเวลา 1 สัปดาห์ แล้วดูว่ามีผื่นเกิดขึ้นบริเวณที่ทาหรือไม่หรืองดใช้ คสอ ทุกชนิด
วิธีทดสอบง่าย ๆ ด้วยตนเองอีกวิธีหนึ่ง
ทำโดยการงดใช้เครื่องสำอางทุกชนิด เมื่ออาการผิวหนังอักเสบหายแล้ว
ให้เริ่มใช้เครื่องสำอางใหม่ทีละตัวเป็นระยะ ๆ ไป
ถ้ามีผื่นเกิดขึ้นให้ลองหยุดใช้เครื่องสำอางตัวสุดท้ายที่ใช้ ถ้าอาการหายไป
ก็น่าจะเป็นเครื่องสำอางตัวสุดท้ายที่เป็นสาเหตุ
หลังจากที่ทดลองได้ผลแล้วว่าแพ้เครื่องสำอางตัวใด
ควรงดใช้เครื่องสำอางทุกชนิดต่อไปอีก 2 ? 6 สัปดาห์
แล้วจึงกลับมาใช้เครื่องสำอางที่ไม่แพ้ได้ใหม่การทดสอบแบบที่ละเอียดมากกว่าที่กล่าวมานี้
จะทำโดยการทดสอบหาสารเคมีซึ่งเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง
เพื่อตรวจสอบดูว่าจะแพ้สารตัวใดในเครื่องสำอางชนิดนั้น ๆ
ซึ่งวิธีนี้จะมีประโยชน์ คือ ต่อไปถ้าเราจะเลือกใช้เครื่องสำอางอีก
ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารเคมีตัวที่เราแพ้ได้
การทำ Patch Test แบบนี้ ใช้สารเคมีตัวที่สงสัย ในความเข้มข้นที่เหมาะสม
มาทาบนหลังผู้ป่วย แล้วใช้เทปปิดทับไว้ ทิ้งไว้ 2 วัน กลับมาอ่านผล
โดยดึงเอาเทปออก แล้วตรวจดูผิวหนังว่ามีผื่นหรือตุ่มน้ำเล็ก ๆ
เกิดขึ้นบ้างหรือไม่ ที่ตำแหน่งของสารเคมีตัวใด
ซึ่งจะบอกได้ว่าผู้ป่วยแพ้สารเคมีตัวใดบ้างอาการแพ้เครื่องสำอาง
ปัญหาที่หลายคนสงสัย คือ อาการอย่างไรจึงจะเรียกว่าเป็นการแพ้เครื่องสำอาง ซึ่งจะทำให้ระมัดระวังตัวหากมีอาการแพ้เกิดขึ้น
- อาการกลุ่มแรกของการแพ้เครื่องสำอาง
คือการที่ผู้ป่วยใช้เครื่องสำอางแล้วรู้สึกด้วยตนเอง เช่น
อาการปวดแสบปวดร้อน อาการคัน ปกติอาการเหล่านี้จะเป็นช่วงสั้น ๆ ไม่เกิน 10
นาที
- อาการกลุ่มต่อมา เป็นอาการที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หลาย ๆ
คนมีความเชื่อว่าคนผิวขาวจะมีโอกาสแพ้เครื่องสำอางได้ง่ายกว่าคนผิวคล้ำ
ที่จริงก็ไม่เสมอไปนัก คนผิวดำเช่นพวกนิโกร
ก็มีอาการแพ้เครื่องสำอางได้เช่นกัน
บริเวณของร่างกายที่จะแพ้เครื่องสำอางได้มากที่สุด คือ
บริเวณใบหน้าเพราะผิวหนังบริเวณนั้นบางที่สุด
อาการแพ้ที่แสดงให้เห็นด้วยตาแบบนี้ อาจเห็นเป็นตุ่มน้ำสีแดง เล็ก ๆ
ผิวหนังอักเสบแดง หรือเป็นปื้นนูนแบบลมพิษ
ที่น่าสนใจคือ การแพ้เครื่องสำอางมักจะก่อให้เกิดรอยดำบนใบหน้า
น้ำหอมจะมีสารเคมีที่เมื่อโดนแสงแล้วจะกระตุ้นให้เกิดการแพ้แสงแดด
เห็นเป็นรอยดำบริเวณที่ทาน้ำหอม เช่น ซอกคอ หลังฝ่ามือ
หรือในคนที่ชอบใช้น้ำหอม โอเดอร์โคโลญจน์ลูบหน้า
จะเห็นเป็นปื้นดำที่หน้าได้เช่นกัน
ในบางประเทศพบว่าการใช้ยารักษาฝ้าที่มีสารไฮโดรควิโนนความเข้มข้นสูง ๆ
จะก่อให้เกิดปื้นดำบนใบหน้าได้
คือนอกจากฝ้าจะไม่หายแล้วยังเกิดรอยดำใหม่ขึ้นบนใบหน้าด้วย
ฉะนั้นคนที่ชอบใช้ครีมรักษาฝ้าด้วยตนเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์
ควรจะต้องระวังผลแทรกซ้อนนี้คสอ ที่เกี่ยวกับ เล็บ
เครื่องสำอางที่ใช้ที่เล็บก็อาจทำให้เกิดการอักเสบเป็นหนองรอบเล็บได้ รวมทั้งทำให้เล็บผุกร่อนและเปลี่ยนสีได้
น้ำยาดัดผม
เครื่องสำอางพวกน้ำยาดัดผมและน้ำยายืดผม
จะมีคุณสมบัติทำให้ไดซัลไฟด์บอนด์ของเส้นผมแตกตัวออก
การใช้เครื่องสำอางประเภทนี้จึงอาจทำให้เส้นผมเปราะหักได้
เส้นผมที่อ่อนแออยู่แล้ว เช่น เส้นผมที่ได้รับการดัดมาแล้ว ยืดมาแล้ว
ถูกย้อมหรือถูกกัดสีมาแล้ว หรือเส้นผมที่ถูกแสงแดดมาก ๆ
หรือถูกสารคลอรีนมาก ๆ จะยิ่งเปราะ หักได้ง่ายกว่าเส้นผมปกติคสอ ที่ทำให้เกิดสิว
เครื่องสำอางทำให้เกิดสิวได้
ในท้องตลาดปัจจุบันเครื่องสำอางหลายชนิดมีส่วนประกอบของสารที่ก่อให้เกิดสิวได้
จึงไม่แปลกเลยที่จะเห็นคนที่อายุ 30 ? 40 ปี ยังคงเป็นสิวอยู่ ทั้ง ๆ
ที่สิวโดยปกติแล้วจะเป็นในช่วงวัยรุ่น
มีการทดลองใช้เครื่องสำอางทาหูกระต่าย
พบว่าหูกระต่ายมีตุ่มสิวขึ้นมาได้เช่นกัน
ที่น่าสนใจกว่านั้นพบว่าการทดลองเกี่ยวกับการเกิดสิวนั้น
ยังไม่ได้มาตรฐานพอที่จะยึดถือได้
เครื่องสำอางที่อ้างว่าไม่ก่อให้เกิดคอมมีโดน (คอมมีโดน คือ
ต้นกำเนิดของสิว) เมื่อใช้ ๆ ไปก็พบว่าทำให้เกิดสิวได้เช่นกันเครื่องสำอางที่ใช้บริเวณตา
เครื่องสำอางที่ใช้บริเวณตา ได้แก่ มาสคาร่า อายแชโดว์ ดินสอเขียนคิ้ว ฯลฯ เครื่องสำอางเหล่านี้อาจพบว่าก่อให้เกิดอาการระคายเคืองรอบดวงตาได้ จากฝุ่นผงของอายแชโดว์ การเช็ดทำความสะอาดออกไม่หมด ฯลฯ
เครื่องสำอางที่ใช้บนใบหน้า
มีรายงานการวิจัยพบว่า มากกว่า 10% ของผู้ที่แพ้เครื่องสำอาง
เกิดจากการใช้เครื่องสำอางบนใบหน้า ซึ่งรวมถึงลิปสติก บลัชออนทาแก้ม
และแป้งทาหน้าเมื่อประมาณ 30 ที่แล้ว การแพ้ลิปสติกพบได้บ่อย
ซึ่งการแพ้ส่วนใหญ่เกิดจากสารสีแดงอีโอซิน (Eosin) ที่เป็นส่วนผสม
แต่ต่อมาแฟชั่นนิยมสีลิปสติกที่จางลง ทำให้พบการแพ้น้อยลงตามไป
และมีการสกัดสารอีโอซินที่บริสุทธิ์ขึ้นด้วย โอกาสแพ้จึงพบได้น้อยลงส่วนบลัชออนทาแก้มนั้น มีหลายประเภท เช่น แป้ง ครีม น้ำ แท่ง หรือ เจล
เพื่อให้ได้สีและเงาที่มากขึ้น จึงต้องมีการใส่สีอินทรีย์ลงไปในบลัชออน
เช่นเดียวกับลิปสติก ซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้ได้เช่นกันส่วนเครื่องสำอางที่ใช้บนใบหน้านั้น
ใช้เพื่อให้ผิวหน้าเนียนเป็นสีเดียวกัน และเพื่อลบรอยต่าง ๆ บนใบหน้า
รูปแบบของเมคอัพนั้นมีหลายชนิด เช่น อยู่ในรูปของสารละลายน้ำและน้ำมัน
โลชั่นปราศจากน้ำมัน แท่งสติ๊ก แป้งฝุ่น แป้งเค้ก ฯลฯ
ซึ่งสารประกอบที่สำคัญคือ ไททาเนียมไดออกไซด์ ซึ่งจะมีคุณสมบัติสะท้อนแสง
เพื่อป้องกันแสงแดด และสารที่มักก่อให้เกิดอาการแพ้ได้แก่ พาบา น้ำหอม
ตัวทำละลาย สารกันบูด ฯลฯเครื่องสำอางที่ใช้กับเล็บ
อาจก่อให้เกิดการแพ้ได้ เช่น น้ำยาทำให้เล็บแข็ง จะมีสารฟอร์มาดีไฮด์
ทำให้แพ้ได้ ส่วนน้ำยาทาเล็บนั้น ก็พบรายงานว่าทำให้เกิดอาการแพ้ได้บ่อย
การแพ้น้ำยาทาเล็บมีลักษณะแปลกที่ว่า
ผื่นผิวหนังอักเสบที่เกิดขึ้นอาจพบได้ที่บริเวณอื่น ๆ ที่ห่างไกลจากนิ้วมือ
คือ อาจพบผื่นผิวหนังอักเสบจากการแพ้น้ำยาทาเล็บได้ที่เปลือกตา รอบปาก คาง
ข้างคอ ทั้งนี้ก็เพราะผู้ป่วยใช้เล็บที่เปื้อนน้ำยาทาเล็บไปเกาบริเวณต่าง ๆ
ที่กล่าวมาแล้วส่วนประกอบในน้ำยาทาเล็บที่ทำให้เกิดอาการแพ้ ได้แก่ โทลูอีนซัลโฟนาไมด์
และฟอร์มาดีไฮด์ และพบว่าในคนไข้บางคนที่ทายาทาเล็บแล้วแพ้นั้น
ถ้าทาเล็บแล้วปล่อยให้แห้งสนิท โอกาสแพ้ยาทาเล็บจะน้อยลง
การทดสอบว่ายาทาเล็บแห้งสนิทหรือไม่ สามารถทำได้โดยใช้ไม้พันปลายสำลีแตะดูน้ำยาล้างยาทาเล็บ จะประกอบด้วยสารละลายอะซิโตน สารเอมิล บิวทิล หรืออิทิลอะซิเตท พบว่าอาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองได้เช่นกัน
ปัจจุบันมี เล็บปลอม คือ เล็บสำเร็จรูป ที่ตกแต่งทาสีไว้แล้ว
ผู้ซื้อมาใช้ก็เพียงแต่เอามาแปะติดที่เล็บเดิมด้วยกาวพิเศษ
วิธีนี้สะดวกมากโดยเฉพาะกับผู้ที่มีเล็บผิดรูปร่าง แต่พบว่าสารเมทธาไครลิก
อะซิดเอสเตอร์ ที่ใช้ในเล็บปลอมนี้ ก่อให้เกิดการแพ้ได้มากเช่นกันผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กอ่อน
ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กอ่อน เป็นที่นิยมใช้กันมากขึ้น
ด้วยความเชื่อที่ว่าของที่ใช้กับผิวเด็กอ่อนที่บอบบาง
ย่อมนำมาใช้กับผิวหนังผู้ใหญ่ได้อย่างปลอดภัยยิ่งขึ้น
ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ออกวางตลาดเพื่อให้ใช้บนผิวหนังและหนังศีรษะของทารกโดยเฉพาะ
ที่จริงแล้วมีรายงานที่พบว่าผิวหนังของเด็กจะมีโอกาสแพ้ได้น้อยกว่าของผู้ใหญ่
ซึ่งก็สอดคล้องกับความจริงที่ว่า
แพทย์จะมีโอกาสพบผิวหนังอักเสบจากการแพ้ในเด็กได้น้อยกว่าผู้ใหญ่
อย่างไรก็ตามผิวหนังของทารกจะมีโอกาสเกิดปฏิกิริยาระคายเคืองได้มาก เช่น
บริเวณที่นุ่งผ้าอ้อม ต้องระมัดระวังผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในบริเวณนี้เราพบว่าผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางสำหรับเด็ก
มักจะใส่น้ำหอมซึ่งอาจทำให้แพ้ได้ ส่วนพวกเบบี้ออยล์ แป้งฝุ่น
จะมีส่วนผสมง่าย ๆ ไม่ค่อยก่อให้เกิดอาการแพ้
ยกเว้นจากน้ำหอมที่ผสมอยู่ในนั้น อย่างไรก็ตามพวกเบบี้โลชั่น มักจะมีน้ำหอม
สารกันบูด ลาโนลิน หรือ โพรพิลีนไกลคอล ที่จะทำให้แพ้ได้บ่อยแต่สารทำความสะอาดในผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับทารก ไม่สามารถขจัดความมัน
คราบเครื่องสำอาง ฝุ่นละออง ฯลฯ จากผิวหน้าผู้ใหญ่ได้ทั้งหมด ในขณะเดียวกัน
การใช้แป้งฝุ่นเด็กซึ่งมีความละเอียดมากมาใช้ทาหน้า
ก็เป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดการอุดตันของรูขุมขนในผิวผู้ใหญ่
เพราะผิวผู้ใหญ่มีขนาดของรูขุมขนที่กว้างกว่าทารก
บวกกับน้ำมันตามธรรมชาติของผิว
จะยิ่งเพิ่มอัตราเสี่ยงของการอุดตันมากขึ้นไปอีกหวังว่าบทความนี้คงทำให้หลาย ๆ
คนมีความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการแพ้เครื่องสำอางมากขึ้น
ข้อมูลบางอย่างรวมทั้งผลเสียจากการใช้เครื่องสำอางเราอาจไม่เคยได้ยินเลย
เพราะในการโฆษณาขายเครื่องสำอางนั้น
ก็ย่อมต้องใช้นางแบบที่มีหน้าตาสวยสดงดงาม มาเป็นพรีเซ็นเตอร์
จะมีสักกี่คนที่ได้เห็นภาพที่แท้จริง คือ ภาพของคนที่แพ้เครื่องสำอาง
มีใบหน้าเห่อแดง บวมทั้งหน้า ใบหน้าด่างขาวถาวร หรือเป็นสิวเต็มหน้า
อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการใช้เครื่องสำอางอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์