ทำความรู้จัก ร้อนใน แผลในช่องปากที่อาการไม่รุนแรง รักษาได้ง่ายๆ

อ่าน 8,208

เคยเป็นกันไหมคะ รู้สึกแสบๆ เหมือนมีตุ่มอะไรอยู่ในปาก

เวลาฟันหรือลิ้นไปโดนก็รู้สึกเจ็บ แน่นอนค่ะว่ามันคือ ?ร้อนใน?

เป็นทีไรสุดแสนจะรำคาญ ทานอะไรก็ไม่อะไรทุกที แถมอาหารบางอย่างก็ทานไม่ได้

เพราะเดี๋ยวจะเป็นหนักกว่าเดิมขึ้นไปอีก

วันนี้เรามาทำความรู้จักอาการร้อนในกัน มาดูสิว่ามันเกิดจากอะไร

แล้วเราจะจัดการมันอย่างไร เมื่อเลาที่เราเป็น

แผลร้อนใน หรือ แผลแอฟทัส (Aphthous

ulcer, Aphthous stomatitis, Canker sore, Recurrent aphthous ulcer ? RAU,

Ulcerative stomatitis) คือ การมีแผลเปื่อยในช่องปากที่พบได้บ่อย

อาจเกิดบริเวณส่วนใดของช่องปากก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น ริมฝีปาก กระพุ้งแก้ม

เพดานปาก ลิ้นแลอาจจะมีเพียงแผลเดียว หรือหลายแผล

ขนาดของแผลอาจเป็นตุ่มเล็กๆ

หรือมีขนาดใหญ่หลายเซนติเมตรก็ได้ซึ่งร้อนในนั้นจัดว่าไม่มีอาการรุนแรงอะไรมาก

เพียงแต่จะสร้างความรำคาญให้กับผู้ที่เป็นเท่านั้นเอง

อาการของแผลร้อนใน

ผู้ที่มีอาการร้อนในนั้นจะเกิดแผล

หรือช่วงแรกอาจเกิดตุ่มแดงขนาดเล็กในช่องปาก บริเวณริมฝีปากด้านใน

กระพุ้งแก้ม หรือขอบลิ้น และหลังจากนั้นตุ่มแดงก็จะกลายเป็นสีแดงนูน

ส่งผลให้มีอาการปวดบวม และรู้สึกเจ็บปวดเมื่อถูกสัมผัส

โดยอาการเหล่านี้จะเป็นอยู่ประมาณ 1 ? 2 สัปดาห์ ก็สามารถหายไปได้เอง

สาเหตุของแผลร้อนใน

1. พักผ่อนไม่เพียงพอ นอนดึก นอนน้อย เป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ เลยก็ว่าได้

2. ความเครียด ความกังวล ความเหนื่อยล้า อารมณ์โมโหฉุนเฉียว เช่น เครียดจากการทำงาน การอ่านหนังสือสอบมาก ๆ หรือเครียดจากปัญหาภายในครอบครัว

3. การได้รับบาดเจ็บในช่องปาก เช่น

เยื่อบุปากหรือลิ้นถูกกัดในขณะเคี้ยวอาหาร หรือถูกแปรงสีฟัน ฟันปลอม

หรือจากอาหารแข็งๆ เข้าไปกระทบกระแทกในช่องปาก

4. การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาแอสไพริน ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ยาอะเลนโดรเนตที่ใช้รักษาโรคกระดูกพรุน (Alendronate) เป็นต้น

5. การรับประทานอาหารที่มีฤทธิ์ร้อน เช่น ของทอด ของมัน เนื้อติดมัน เหล้า เบียร์ ขนมปังเบเกอรี่ ของหวาน ไอศกรีม ผลไม้ที่มีรสหวานมาก ๆ

6. การรับประทานอาหารที่มีรสจัดมากเกินไป เช่น เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด หวานจัด

7. การแพ้อาหารบางอย่าง เช่น นมวัว เนยแข็ง กาแฟ โคล่า ช็อกโกแลต

แป้งข้าวสาลี ของเผ็ด ผลไม้จำพวกส้ม ฯลฯ

รวมไปถึงสารเคมีในอาหารหรือในสิ่งที่บริโภคบ่อย ๆ เช่น น้ำยาบ้วนปาก

8. การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น โรคเริม

9. ดื่มน้ำน้อย รวมถึงร่างกายขาดวิตามินและเกลือแร่บางชนิด โดยเฉพาะขาดธาตุเหล็ก สังกะสี กรดโฟลิก วิตามินบี (โดยเฉพาะวิตามินบี 12)

10. การมีประจำเดือนของสตรี

บางครั้งโรคนี้อาจสัมพันธ์กับการเปลี่ยนของฮอร์โมน

เนื่องจากพบโรคนี้ได้บ่อยในผู้หญิง โดยเฉพาะในช่วงใกล้หรือมีประจำเดือน

แต่จากการศึกษาในปัจจุบันยังไม่สามารถระบุถึงความสัมพันธ์ที่ชัดเจนได้

วิธีรักษาแผลร้อนใน

1. ทายาแก้ร้อนใน

? ไตรแอมซิโนโลน อะเซโทไนด์ (Triamcinolone acetonide) ยาชนิดป้ายปาก สามารถทาได้ หลังอาหาร 3 มื้อ หรือก่อนนอน

? ฟลูโอซิโนโลน อะเซทโทไนด์ (Fluocinolone acetonide) เป็นยาที่มีทั้งชนิดทา และชนิดสารละลาย

? คลอร์เฮ็กซิดีน กลูโคเนต (Chlorhexidine gluconate) ซึ่งเป็นยาที่ใช้บ้วนปากโดยใช้อมวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 1 นาที หลังอาหาร

2.บ้วนปากด้วยน้ำเกลือ

น้ำเกลือนอกจากจะช่วยรักษาแผลได้แล้ว ยังช่วยทำให้ปากสะอาด แบคทีเรียลดลงอีกด้วย ซึ่งเราสามารถบ้วนได้วันละ 2-3 ครั้ง

3. เปลี่ยนยาสีฟันหรือน้ำยาบ้วนปากที่เคยใช้

หากคุณเป็นผู้ที่ไม่ได้ทานอาหารรสจัด ทานของทอดๆ มันๆ หรือไม่ได้นอนดึก

สาเหตุหนึ่งก็อาจมาจากเยื้อบุปากของคุณแพ้ยาสีฟัน

หรือน้ำยาบ้วนปากที่คุณเคยใช้ ลองเปลี่ยนดู อาจจะทำให้อาการดีขึ้นก็ได้นะ

4. ดื่มน้ำให้มากๆ

เราควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว

5. หลีกเลี่ยงอาหารบางประเภทรวมถึงอาหารที่ทำให้เกิดอาการแพ้

เราควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีฤทธิ์ร้อน จำพวกของทอดต่างๆ

นอกจากนี้ยังควรเลี่ยงอาหารที่มีรสจัด

เพราะมันสามารถเข้าไปทำให้แผลเกิดการระคายเคืองได้

ทั้งนี้ก็ควรทานอาหารที่มีปนะโยชน์และครบ 5 หมู่ด้วยนะ

6. ผ่อนคลายความเครียด

หากเราไม่ผ่อนคลายความเครียด นอกจากแผลจะไม่หายแล้ว ยังมีผลต่อสุขภาพจิตอีกด้วยนะ

7. พักผ่อนให้เพียงพอ

จะเห็นได้ว่า แม้แผลร้อนในจะมีอาการที่ไม่รุนแรงมาก

สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกเพศ ทุกวัย

แต่การดูแลและใส่ใจในสุขภาพของตัวเองนั้นก็เป็นสิ่งสำคัญเราควรพักผ่อนให้เพียงพอ

และระวังเรื่องอาหารการกิน รวมถึงความสะอาดในช่องปากของเราด้วย

เพียงเท่านี้ปัญหากังวัลใจเรื่องร้อนในของเราก็จะหมดไป

ที่มา : www.medthai.com และwww.เกร็ดความรู้.net



บทความแนะนำ