ทำความรู้จัก ร้อนใน แผลในช่องปากที่อาการไม่รุนแรง รักษาได้ง่ายๆ
เคยเป็นกันไหมคะ รู้สึกแสบๆ เหมือนมีตุ่มอะไรอยู่ในปาก
เวลาฟันหรือลิ้นไปโดนก็รู้สึกเจ็บ แน่นอนค่ะว่ามันคือ ?ร้อนใน?
เป็นทีไรสุดแสนจะรำคาญ ทานอะไรก็ไม่อะไรทุกที แถมอาหารบางอย่างก็ทานไม่ได้
เพราะเดี๋ยวจะเป็นหนักกว่าเดิมขึ้นไปอีก
วันนี้เรามาทำความรู้จักอาการร้อนในกัน มาดูสิว่ามันเกิดจากอะไร
แล้วเราจะจัดการมันอย่างไร เมื่อเลาที่เราเป็นแผลร้อนใน หรือ แผลแอฟทัส (Aphthous
ulcer, Aphthous stomatitis, Canker sore, Recurrent aphthous ulcer ? RAU,
Ulcerative stomatitis) คือ การมีแผลเปื่อยในช่องปากที่พบได้บ่อย
อาจเกิดบริเวณส่วนใดของช่องปากก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น ริมฝีปาก กระพุ้งแก้ม
เพดานปาก ลิ้นและอาจจะมีเพียงแผลเดียว หรือหลายแผล
ขนาดของแผลอาจเป็นตุ่มเล็กๆ
หรือมีขนาดใหญ่หลายเซนติเมตรก็ได้ซึ่งร้อนในนั้นจัดว่าไม่มีอาการรุนแรงอะไรมาก
เพียงแต่จะสร้างความรำคาญให้กับผู้ที่เป็นเท่านั้นเองอาการของแผลร้อนใน
ผู้ที่มีอาการร้อนในนั้นจะเกิดแผล
หรือช่วงแรกอาจเกิดตุ่มแดงขนาดเล็กในช่องปาก บริเวณริมฝีปากด้านใน
กระพุ้งแก้ม หรือขอบลิ้น และหลังจากนั้นตุ่มแดงก็จะกลายเป็นสีแดงนูน
ส่งผลให้มีอาการปวดบวม และรู้สึกเจ็บปวดเมื่อถูกสัมผัส
โดยอาการเหล่านี้จะเป็นอยู่ประมาณ 1 ? 2 สัปดาห์ ก็สามารถหายไปได้เองสาเหตุของแผลร้อนใน
1. พักผ่อนไม่เพียงพอ นอนดึก นอนน้อย เป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ เลยก็ว่าได้
2. ความเครียด ความกังวล ความเหนื่อยล้า อารมณ์โมโหฉุนเฉียว เช่น เครียดจากการทำงาน การอ่านหนังสือสอบมาก ๆ หรือเครียดจากปัญหาภายในครอบครัว
3. การได้รับบาดเจ็บในช่องปาก เช่น
เยื่อบุปากหรือลิ้นถูกกัดในขณะเคี้ยวอาหาร หรือถูกแปรงสีฟัน ฟันปลอม
หรือจากอาหารแข็งๆ เข้าไปกระทบกระแทกในช่องปาก4. การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาแอสไพริน ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ยาอะเลนโดรเนตที่ใช้รักษาโรคกระดูกพรุน (Alendronate) เป็นต้น
5. การรับประทานอาหารที่มีฤทธิ์ร้อน เช่น ของทอด ของมัน เนื้อติดมัน เหล้า เบียร์ ขนมปังเบเกอรี่ ของหวาน ไอศกรีม ผลไม้ที่มีรสหวานมาก ๆ
6. การรับประทานอาหารที่มีรสจัดมากเกินไป เช่น เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด หวานจัด
7. การแพ้อาหารบางอย่าง เช่น นมวัว เนยแข็ง กาแฟ โคล่า ช็อกโกแลต
แป้งข้าวสาลี ของเผ็ด ผลไม้จำพวกส้ม ฯลฯ
รวมไปถึงสารเคมีในอาหารหรือในสิ่งที่บริโภคบ่อย ๆ เช่น น้ำยาบ้วนปาก8. การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น โรคเริม
9. ดื่มน้ำน้อย รวมถึงร่างกายขาดวิตามินและเกลือแร่บางชนิด โดยเฉพาะขาดธาตุเหล็ก สังกะสี กรดโฟลิก วิตามินบี (โดยเฉพาะวิตามินบี 12)
10. การมีประจำเดือนของสตรี
บางครั้งโรคนี้อาจสัมพันธ์กับการเปลี่ยนของฮอร์โมน
เนื่องจากพบโรคนี้ได้บ่อยในผู้หญิง โดยเฉพาะในช่วงใกล้หรือมีประจำเดือน
แต่จากการศึกษาในปัจจุบันยังไม่สามารถระบุถึงความสัมพันธ์ที่ชัดเจนได้วิธีรักษาแผลร้อนใน
1. ทายาแก้ร้อนใน
? ไตรแอมซิโนโลน อะเซโทไนด์ (Triamcinolone acetonide) ยาชนิดป้ายปาก สามารถทาได้ หลังอาหาร 3 มื้อ หรือก่อนนอน
? ฟลูโอซิโนโลน อะเซทโทไนด์ (Fluocinolone acetonide) เป็นยาที่มีทั้งชนิดทา และชนิดสารละลาย
? คลอร์เฮ็กซิดีน กลูโคเนต (Chlorhexidine gluconate) ซึ่งเป็นยาที่ใช้บ้วนปากโดยใช้อมวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 1 นาที หลังอาหาร
2.บ้วนปากด้วยน้ำเกลือ
น้ำเกลือนอกจากจะช่วยรักษาแผลได้แล้ว ยังช่วยทำให้ปากสะอาด แบคทีเรียลดลงอีกด้วย ซึ่งเราสามารถบ้วนได้วันละ 2-3 ครั้ง
3. เปลี่ยนยาสีฟันหรือน้ำยาบ้วนปากที่เคยใช้
หากคุณเป็นผู้ที่ไม่ได้ทานอาหารรสจัด ทานของทอดๆ มันๆ หรือไม่ได้นอนดึก
สาเหตุหนึ่งก็อาจมาจากเยื้อบุปากของคุณแพ้ยาสีฟัน
หรือน้ำยาบ้วนปากที่คุณเคยใช้ ลองเปลี่ยนดู อาจจะทำให้อาการดีขึ้นก็ได้นะ4. ดื่มน้ำให้มากๆ
เราควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว
5. หลีกเลี่ยงอาหารบางประเภทรวมถึงอาหารที่ทำให้เกิดอาการแพ้
เราควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีฤทธิ์ร้อน จำพวกของทอดต่างๆ
นอกจากนี้ยังควรเลี่ยงอาหารที่มีรสจัด
เพราะมันสามารถเข้าไปทำให้แผลเกิดการระคายเคืองได้
ทั้งนี้ก็ควรทานอาหารที่มีปนะโยชน์และครบ 5 หมู่ด้วยนะ6. ผ่อนคลายความเครียด
หากเราไม่ผ่อนคลายความเครียด นอกจากแผลจะไม่หายแล้ว ยังมีผลต่อสุขภาพจิตอีกด้วยนะ
7. พักผ่อนให้เพียงพอ
จะเห็นได้ว่า แม้แผลร้อนในจะมีอาการที่ไม่รุนแรงมาก
สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกเพศ ทุกวัย
แต่การดูแลและใส่ใจในสุขภาพของตัวเองนั้นก็เป็นสิ่งสำคัญเราควรพักผ่อนให้เพียงพอ
และระวังเรื่องอาหารการกิน รวมถึงความสะอาดในช่องปากของเราด้วย
เพียงเท่านี้ปัญหากังวัลใจเรื่องร้อนในของเราก็จะหมดไปที่มา : www.medthai.com และwww.เกร็ดความรู้.net