14 สิ่งไม่คาดคิดที่ทำให้คุณมีกลิ่นไม่พึงประสงค์

เราสามารถจัดการกับปัญหากลิ่นไม่พึงประสงค์

นี้ได้ ข่าวดีคือเมื่อคุณรู้สาเหตุการแก้ปัญหาก็กลายเป็นเรื่องง่าย

และนี่คือ 14

เครียดมากเกินไป

ความเครียดเป็นสาเหตุให้ร่างกายผลิตเหงื่อ

และกลิ่นตัว ดังนั้นคุณควรหายใจลึกๆและตั้งสติให้ดี

โดยปกติคนเราจะมีต่อมเหงื่อ 2

ชนิดได้แก่ต่อมเอกไครน์ซึ่งกระจายอยู่ทั่วร่างกาย

และเมื่อเหงื่อไหลผ่านของเหลวก็จะระเหยทำให้อุณหภูมิลดลง

นี่คือต่อมที่จะผลิตเหงื่อเมื่อเราออกกำลังกายหรือรู้สึกร้อน

เหงื่อส่วนใหญ่ทำจากน้ำ

ส่วนต่อมอีกชนิดได้แก่ต่อมอะโพไครน์ซึ่งกระจายอยู่บางแห่งของร่างกาย เช่น

รักแร้

ต่อมเหล่านี้จะผลิตของเหลวคล้ายกับน้ำนมและเมื่อของเหลวดังกล่าวสัมผัสกับ

เชื้อแบคทีเรียบนร่างกายก็จะทำให้เกิดกลิ่นตัว

อาหารรสเผ็ด

เมื่อเรารับประทานเครื่องเทศ เช่น

กระเทียมหรือเครื่องแกง

ร่างกายก็จะปล่อยก๊าซที่มีส่วนประกอบของซัลเฟอร์ออกมาและกลิ่นเหล่านี้ก็จะ

อยู่นานหลายชั่วโมง ส่วนประกอบในเครื่องเทศจำนวนมากเป็นไขมันที่ละลายน้ำได้

ดังนั้นพวกมันจะถูกกักเก็บไว้ในไขมันในร่างกายและดูดซึมเข้าไปในเหงื่อกับ

อาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำ

อาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำจะช่วยในเรื่องการลด

น้ำหนักได้อย่างรวดเร็ว

เมื่อร่างกายไม่มีอาหารในการเผาผลาญพลังงานร่างกายก็จะเริ่มเผาผลาญไขมันแทน

และผลิตสารเคมีที่ทำให้เหงื่อมีกลิ่นคล้ายกับน้ำยาล้างเล็บหรือกลิ่นฉุน

ยกทรงตัวโปรด

ปัญหากลิ่นตัวเกิดขึ้นได้ถ้าคุณใส่ยกทรงตัว

นั้นโดยที่ไม่ได้พักเลย ยกทรงจะสัมผัสบริเวณผิวหนังที่มักจะมีเหงื่อออก

เช่น หน้าอกและเต้านม

นอกจากนี้ยกทรงส่วนใหญ่มักจะไม่ได้ทำมาจากผ้าที่ระบายอากาศและดูดความชื้น

ออกไป

สิ่งที่เกิดขึ้นคือเหงื่อจะหมักหมมอยู่ในเส้นใยของยกทรงและทำให้เกิดกลิ่น

เหม็น ความอับชื้นจะทำให้เชื้อราและเชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตเป็นอย่างดี

ซักผ้าไม่บ่อยเพียงพอ

คุณควรซักเสื้อผ้าทุกชิ้นเป็นประจำเนื่องจากจะช่วยลดปริมาณของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นตัวลงได้

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันปลา

แน่นอนว่าน้ำมันปลาจะช่วยทำให้ผิวพรรณของ

คุณเปล่งปลั่ง เส้นผมเงางาม และเสริมสร้างการทำงานของสมอง

แต่โคลีนซึ่งเป็นหนึ่งในวิตามินที่พบได้ในปลาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมัน

ปลาคือสาเหตุที่ทำให้มีกลิ่นคาวปลา

มันจะอยู่ในเนื้อเยื่อของเราหลายวันและออกมาในรูปแบบของเหงื่อ

ใช้ไหมขัดฟันไม่เพียงพอ

ทุกครั้งที่เรารับประทานอาหาร

เศษอาหารก็จะติดอยู่ตามซอกฟัน

หากเราไม่ได้แปรงฟันและขัดฟันเป็นประจำสักพักเศษอาหารเหล่านั้นก็จะเริ่มส่ง

กลิ่นเหม็น

นอกจากนี้เราควรใช้ไหมขัดฟันเพื่อขจัดคราบแบคทีเรียเหนียวๆที่เคลือบอยู่บน

ไม่สวมถุงเท้า

หากคุณสวมรองเท้าผ้าใบโดยที่ไม่มีถุงเท้า

เท้าของคุณก็จะเริ่มร้อนและมีเหงื่อออก เมื่อไม่มีการระบายอากาศ

กลิ่นเหล่านั้นก็จะยังติดอยู่ที่เท้าและรองเท้าของคุณจนกลายเป็นแหล่งเพาะ

โรคภูมิแพ้และการติดเชื้อไซนัส

เมื่อจมูกและโพรงไซนัสมีการอักเสบหรือบวม

ขึ้น แบคทีเรียก็จะเจริญเติบโตอยู่ในนั้นและเริ่มส่งกลิ่นเหม็นออกมา

คุณอาจรู้สึกถึงกลิ่นปากขณะที่กำลังรับประทานอาหารหรือแปรงฟัน

ยาบางชนิด

ยาส่วนใหญ่มักจะมาพร้อมกับผลข้างเคียงยาว

เหยียดและยาบางชนิดอาจทำให้คุณมีกลิ่นเหม็น เช่น

ยาคุมกำเนิดอาจทำให้ปากแห้งซึ่งจะทำให้เกิดการสะสมของกำมะถันในช่องปากจนทำ

ให้ลมหายใจมีกลิ่นเหม็นเหมือนกับไข่เน่า

ขณะที่ไทลินอลและยาแก้อาการซึมเศร้าก็อาจทำให้เหงื่อออก

ดื่มค็อกเทลมากเกินไป

ร่างกายของคนเรามองว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

คือสารพิษ ดังนั้นมันจึงพยายามที่จะย่อยสลายและขับออกไปให้เร็วที่สุด

เครื่องดื่มแอลกอออล์ส่วนใหญ่จะถูกเผาผลาญในตับและขับออกไปในรูปของปัสสาวะ

หากคุณดื่มมากเกินกว่าที่ตับจะจัดการได้หรือตับได้รับความเสียหาย

แอลกอฮอล์บางส่วนจะถูกขับออกผ่านทางลมหายใจและเหงื่อ

แต่ไม่ต้องห่วงทางที่ดีพยายามค่อยๆดื่มและดื่มน้ำเปล่าตามให้มากๆตลอดทั้ง

รับประทานเนื้อแดงมากเกินไป

เนื้อแดงเป็นอาหารที่ย่อยยากจึงอาจทำให้มี

กลิ่นไม่พึงประสงค์

ยกตัวอย่างเช่นถ้าร่างกายต้องการย่อยแฮมเบอร์เกอร์กรดอะมิโนในแฮมเบอร์เกอร์

จะทิ้งสารตกค้างไว้ในลำไส้

เมื่อเอ็นไซม์ต้องการย่อยสารตกค้างมันก็จะผสมเข้ากับเชื้อแบคทีเรียบนผิว

หนังและทำให้เกิดกลิ่นเหม็น

กลิ่นเหล่านี้จะแย่ยิ่งกว่าเดิมหลังจากที่รับประทานเนื้อแดงไปสองชั่วโมง

ดังนั้นคุณควรรับประทานเนื้อแดงกับน้ำแก้วใหญ่เพื่อช่วยลดปัญหาใน

การตั้งครรภ์

เมื่ออัตราการเผาผลาญเพิ่มขึ้น

เลือดก็จะหล่อเลี้ยงไปยังรักแร้ ช่องคลอดและทุกๆที่เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน

นอกจากต่อมเหงื่อแล้วการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนยังอาจทำให้เกิดกลิ่นปากและ

วัยหมดประจำเดือน

เมื่อระดับฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง เช่น

ในวัยหมดประจำเดือน

อุณหภูมิในร่างกายก็จะเพิ่มขึ้นทำให้มีเหงื่อออกมากและกลายเป็นกลิ่นตัว

Blogger : Carrie Madormo

Source : thelist.com