อ้วนง่าย ๆ แบบงง ๆ ใครอยู่วงจรนี้ มาดูเหตุผลพร้อมวิธีแก้ด่วน
ในขณะที่เรากำลังควบคุมน้ำหนักกันอย่างขะมักเขม้น มุ่งมั่นกับการควบคุมปริมาณอาหารร่วมกับการออกกำลังกาย
มีบ้างไหมครับที่วัน ไหนรู้สึกหวิว ๆ ท้องไส้มันหิวแปลก ๆ รู้สึกโหย ๆ
พิกล มันมวน ๆ ชวนให้นึกถึงขนมปังโทสต์ อบร้อน ๆ ราดด้วยไอศกรีมวานิลลาเย็น
ชุ่มฉ่ำ ไหนจะน้ำแข็งไสเกาหลี บิงซูใส่เมลอนอัน แสนหอมหวาน โอ้ยยย!!
แค่คิดก็อยากจะทะยานเข้าไปแหวกว่ายในดงขนมหวานเหล่านี้ เสียเหลือเกินอาการนี้เรียกง่าย ๆ ว่าอาการโหยครับ
เป็นอาการที่เกิดจากกระบวนการดูดซึมน้ำตาลภายในร่างกาย
โดยเฉพาะคนที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน และชอบรับประทานขนมหวาน
มักจะรู้สึกหิวผิดปกติ คอยแต่จะนึกถึงขนมหวาน ร้องหาของหวานกิน
คนเหล่านี้ถ้าสังเกตดีๆ จะน้ำหนักลงเป็นพักๆ
และกลับมาอ้วนอีกเป็นวัฏจักรเพราะลดเท่าไรก็กินมากกว่าเดิม
สิ่งนี้ทำให้หมดกำลังใจในการลดน้ำหนักได้โดยง่ายแต่ก่อนที่จะหมดกำลังใจจากการลดน้ำหนักแต่ไม่ผอมลงสักที
วันนี้นักวิทยาศาสตร์มีคำตอบครับ ว่าทำไมคนอ้วนจึงหิวบ่อยระหว่างมื้อ
แล้วเพื่อนผอม ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ตัวจึงไม่ค่อยบ่นหิวกันซักเท่าไร ทำไมกันนะ ?นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่า มันเป็นเรื่องของวงจรน้ำตาลกลูโคสครับ
น้ำตาลกลูโคสคือน้ำตาลขนาดเล็ก เล็กมากขนาดที่เซลล์ของเราดูดซึม
เพื่อเอาเข้าไปเป็นพลังงานได้ทันที โดยปกติเมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไป
ร่างกายก็จะย่อยให้อาหารมีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ จนเป็นน้ำตาลกลูโคส
น้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดของเราจะมีระดับเพิ่มขึ้นหรือลดลงขึ้นอยู่กับชนิดของอาหารที่เรารับประทานเข้าไป
วงจรน้ำตาลกลูโคสที่สมดุล (Healthy glucose cycle)
เกิดขึ้นเมื่อเรารับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ผักใบเขียว
ข้าวซ้อมมือหรือโปรตีนไขมันต่ำ
ร่างกายจะค่อยๆทำการย่อยสลายอาหารเหล่านี้จนมีขนาดเล็กลง
และสุดท้ายได้เป็นน้ำตาลกลูโคส ใช่ครับผักสลัดต่าง ๆ เมื่อถูกร่างกายย่อยให้มีขนาดเล็กลง
ก็จะได้เป็นน้ำตาลกลูโคส เมื่อมีน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือด
ร่างกายก็จะผลิตฮอร์โมนอินซูลินขึ้นมา
เพื่อนำพาน้ำตาลจากกระแสเลือดเข้าสู่เซลล์ต่าง ๆ เพื่อใช้งาน
เมื่ออินซูลินนำพากลูโคสเข้าสู่เซลล์จนน้ำตาลในกระแสเลือดน้อยลง
ร่างกายก็จะรู้สึกหิวอีกครั้งกระตุ้นให้เรารับประทานอาหารที่มีประโยชน์มื้อต่อไปเข้าสู่ร่างกายหมุนเวียนเป็นวงจร
ดังนี้ขณะที่ลดน้ำหนัก
นักโภชนาการจึงแนะนำให้เรารับประทานอาหารที่มีดัชนีไกลซี-มิกต่ำๆ
เพื่อให้ร่างกายค่อยๆ ย่อยอาหารเป็นน้ำตาลและควรควบคุมพลังงานที่ได้รับ
จากอาหารให้เหมาะสมกับที่ร่างกายของเราต้องใช้ โดยควรแบ่งอาหารออกเป็น
มื้อย่อยๆ 5-6 มื้อต่อวัน เพื่อให้ร่างกายค่อย ๆ ย่อยอาหาร
ช่วยให้ระดับน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดไม่สูงมากหรือต่ำมากจนเกินไปในทางกลับกัน ถ้าเรารับประทานขนมที่มีรสชาติหวานจัด
หรือมีส่วนประกอบของน้ำตาล แป้ง หรือน้ำเชื่อมเข้มข้นสูง เช่น เค้ก คุกกี้
ขนมปังโทสต์ราดน้ำเชื่อมเข้มข้น ขนมหวานเหล่านี้เมื่อเข้าสู่ระบบย่อยอาหาร
ปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างฉับพลันจนถึงระดับสูงสุด
การที่กลูโคสมีระดับสูงหรือต่ำแบบหวือหวาฉับพลันนี้จะทำให้ร่างกายเกิดความหิวในระดับที่เราเรียกกันว่า
?โหย?
คืออยากรับประทานอาหารจนแทบทนไม่ไหว
ความโหยในระหว่างการควบคุมน้ำหนักนั้นเกิดจากความไม่สมดุลของการรับประทานอาหารจนทำให้วงจรน้ำตาลกลูโคสเกิดภาวะไม่สมดุล
เรียกว่าวงจรน้ำตาลกลูโคสแบบรถไฟเหาะตีลังกา (Roller coaster glucose
cycle)ช่วงที่ร่างกายได้รับน้ำตาลกลูโคสมากอย่างฉับพลันนี้
สมองจะสั่งการให้ร่างกายรู้สึกเกิดความสุขและตื่นเต้น
แต่เมื่ออินซูลินนำพาน้ำตาลไปใช้งานจนหมด ระดับน้ำตาลก็จะลดลงอย่างฮวบฮาบ
ความสุขที่เคยเกิดขึ้นจะแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกเบื่อหน่าย
เกิดอาการง่วงนอนและสุดท้ายร่างกายจะสั่งให้เราเกิดความโหย
อยากรับประทานขนมหวานอีกครั้ง เราก็จะเริ่มมองหาขนมจุบจิบกิน อย่างเช่น
โดนัท หรือน้ำอัดลม
เพื่อให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นขึ้นเหมือนเดิมเกิดเป็นวังวนของการใช้น้ำตาลกลูโคสที่ไม่สมดุล
วังวนนี้จะทำให้เราอยากรับประทานอาหาร ขนมหวานต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด
จนสุดท้ายได้รับพลังงานจากอาหารมากเกินไป
จนกลับมาอ้วนมากกว่าเดิมการลดน้ำหนักที่ดี
จึงควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
เพื่อให้ได้พลังงานในระดับที่เหมาะสม
เลือกชนิดของอาหารก็ควรจะเป็นกลุ่มที่มีกากใย ใช้เวลาในการย่อยนาน
หลีกเลี่ยงอาหารที่ประกอบด้วยน้ำตาลเข้มข้นสูงเนื่องจากจะทำให้เกิดวงจรกลูโคสที่ไม่สมดุลในร่างกาย
ซึ่งทำให้เราจัดการความหิวของเราไม่ได้ ส่งผลให้เกิดภาวะอ้วนตามมาที่มาเนื้อหาจาก นิตยสารแม่บ้าน
Web : http://www.maeban.co.th/
FB : https://www.facebook.com/Maeban.co.th/
MAEBAN TV : https://www.youtube.com/c/maebantv
IG : https://www.instagram.com/maebanmag/