มาหาคำตอบ คลอโรฟีลล์ มีประโยชน์จริงหรือ? บริโภคแค่ไหนจึงจะปลอดภัย!
คุณเคยได้ยินสารที่ชื่อ "คลอโรฟีลล์" ไหม
แล้วรู้หรือไม่ว่ามันคืออะไร ให้ประโยชน์กับร่างกายคุณมากน้อยแค่ไหน
วันนี้เราพาคุณมาทำความรู้จักกับคลอโรฟีลล์กันคลอโรฟีลล์เป็นสารสีเขียว มักพบได้ในพืชผักทั่วไป
และในสาหร่ายสีเขียว (chlorella)
สารคลอโรฟีลล์ในธรรมชาติจะอยู่ในรูปของคลอโรฟีลล์ที่ละลายในน้ำมันส่วนคลอโรฟีลล์ที่นำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
จะเป็นสารสังเคราะห์ที่มีชื่อว่า โซเดียมคอปเปอร์คลอโรฟีลลิน (Sodium
copper chlorophyllin) ซึ่งเป็นการดัดแปลงโครงสร้างคลอโรฟีลล์ตามธรรมชาติ
ทำให้ได้สารคลอโรฟีลลิน ที่ยังคงมีสีเขียวอยู่
แต่มีความคงตัวและสามารถละลายน้ำได้ดี
สามารถนำมาผสมในอาหารและเครื่องดื่มได้การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาพบว่า คลอโรฟีลล์ ยา และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนผสมของคลอโรฟีลล์
มีฤทธิ์ยับยั้งเนื้องอกที่เต้านม ช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งตับ ช่วยเพิ่มจำนวนและประสิทธิภาพการทำงานของเม็ดเลือดขาว ช่วยลดกลิ่นตัว กลิ่นของอุจจาระ และกลิ่นของปัสสาวะ ช่วยให้รอยแผลบริเวณผิวหนังซึ่งเกิดจากการฉายแสงเพื่อรักษามะเร็งหายเร็วขึ้น
สำหรับข้อมูลด้านความปลอดภัย PDR (Physicians, Desk Reference) for Health มีข้อกำหนดดังนี้
ข้อห้ามใช้: ห้ามใช้ในผู้ที่มีอาการแพ้หรือไวต่อสิ่งกระตุ้นที่มีคลอโรฟีลล์และคลอโรฟีลลินเป็นส่วนประกอบ
ข้อควรระวัง: การรับประทานคลอโรฟีลล์และคลอโรฟีลลินเสริมนั้น ควรหลีกเลี่ยงการใช้ในหญิงตั้งครรภ์และมารดาที่ให้นมบุตร
ผลข้างเคียง
: การรับประทานคลอโรฟีลล์และคลอโรฟีลลินเสริม
อาจทำให้ปัสสาวะและอุจจาระมีสีเขียว ลิ้นเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเกือบดำ
อาจทำให้เกิดอาการท้องเสีย
นอกจากนี้ยังพบรายงานการเกิดอาการแพ้สารคลอโรฟีลลิน
โดยอาจพบผื่นแพ้ขึ้นตามตัว มีอาการเวียนศีรษะ
เหงื่อออกมากและความดันโลหิตลดลงอย่างรวดเร็วได้ขนาดที่ใช้ : โดยทั่วไปขนาดที่นิยมใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคือ 100 มก./วัน
ในอเมริกากำหนดความปลอดภัยของสารคลอโรฟีลลินในผลิตภัณฑ์
เสริมอาหารหรือใช้เป็นสีผสมอาหารได้ไม่เกิน 300 มก./วัน สำหรับผู้ใหญ่
ส่วนเด็กอายุตั้งแต่ 2 ขวบขึ้นไป สามารถรับประทานคลอโรฟีลลินได้ในขนาด 90
มก./วันอย่างไรก็ตาม จากข้อมูลวิจัย
จะเห็นได้ว่าคลอโรฟีลล์มีประโยชน์พอสมควร แต่การจะเลือกบริโภคนั้น
ต้องคำนุงปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ความปลอดภัย คุณภาพ ความจำเป็น
รวมไปถึงราคา
ซึ่งเราสามารถได้รับสารคลอโรฟีลล์โดยตรงได้จากการทานผักใบเขียว
แต่ถ้ามีความจำเป็นต้องบริโภคคลอโรฟีลล์ที่เป็นสารสังเคราะห์จริงๆ
ก็ควรใช้ให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม
และควรสังเกตร่างกายของตัวเองอย่างสม่ำเสมอว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า
อย่างน้อยก็เพื่อรักษาสุขภาพที่ดีของตัวคุณเองที่มา : พนิดา ใหญ่ธรรมสาร สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล