ที่เที่ยวสุดอลังการ ที่น่าไปเที่ยวสักครั้ง

อ่าน 3,958

เราเชื่อว่าทุกคนต่างก็มีสถานที่ท่องเที่ยวในฝันที่จะต้องไปเห็นด้วยตาตัวเองให้ได้สักครั้งในชีวิต แล้วคุณผู้อ่านล่ะคะ...มีสถานที่ท่องเที่ยวในฝันกันบ้างไหม ? ถ้ายังไม่มีลองมาชมทางนี้ค่ะ ซึ่งเว็บไซต์Buzzfeedได้ทำการสอบถามสมาชิกว่าสถานที่ท่องเที่ยวในฝันของแต่ละคนนั้นคือที่ใด และผลที่ออกมาก็ทำเอาทึ่งกันไปเลยทีเดียว เพราะแต่ละสถานที่นั้นมีความสวยงามอลังการจนแทบไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีสถานที่แบบนี้อยู่ในโลกด้วย จะมีที่ไหนบ้างนั้น ไปชมกันเลยค่ะ


1. แคปพาโดเชีย (Cappadocia) ประเทศตุรกี
ตั้งอยู่บนที่ราบภาคกลางอนาโตเลีย ครอบคลุมพื้นที่ในหลายเมืองของประเทศตุรกี ได้แก่ Aksaray, Nevsehir, Nigde, Kayseri และ Kirsehir เป็นพื้นที่ที่มีภูมิทัศน์ที่สวยงาม หินภูเขาไฟถูกลม แสงแดด และน้ำฝนกัดเซาะมาเป็นเวลาหลายพันปี จนมีรูปร่างที่สวยงามแปลกตาคล้ายกับเห็ด ซึ่งมีบ้านเรือนของชนเผ่าในยุคก่อนที่มีลักษณะการสร้างที่เป็นเอกลักษณ์ตั้งอยู่ภายในแท่งหินภูเขาไฟเหล่านั้น เป็นความมหัศจรรย์ที่ทำให้แคปพาโดเชียได้รับการจดทะเบียนให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1985 กิจกรรมที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากที่สุดก็คือ การขึ้นบอลลูนเพื่อชมความงดงามของพื้นที่แห่งนี้ในช่วงพระอาทิตย์ตกดิน อัตราค่าใช้บริการอยู่ที่คนละ 160 ยูโร (ประมาณ 6,063 บาท *ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง) รายละเอียดเพิ่มเติมCappadociaturkey(ขอขอบคุณข้อมูลจากunesco)

2. แอนเทอโลป แคนยอน (Antelope Canyon) รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา
ตั้งอยู่ที่ชานเมืองเพจ (Page) รัฐแอริโซนา เป็นพื้นที่ภูเขาหินทรายที่ถูกกัดกร่อนโดยลม แสงแดด และน้ำมาหลายพันปี จนทำให้มีรูปร่างที่แปลกตา แต่สวยงามจนน่าอัศจรรย์ ชื่อของแคนยอนแห่งนี้ได้มาจากที่ในยุคหนึ่งของที่นี่มีละมั่งอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ปัจจุบันหลงเหลือไว้เพียงหุบเขาหินทรายที่งดงามเท่านั้น จุดที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากที่สุดก็คือ Corkscrew ซึ่งเป็นกำแพงที่สูงประมาณ 120 ฟุต รอบด้านเป็นลวดลายของชั้นหินที่ซ้อนกันไปมาอย่างสวยงาม ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเข้าชมคือ ในช่วงบ่ายจนถึงก่อนพระอาทิตย์ตกดิน เพราะแสงอาทิตย์จะส่องสะท้อนทั้งพื้นที่ให้เป็นสีน้ำตาลทอง เป็นภาพที่งดงามจนอยากจะหยุดเวลาไว้เลยทีเดียว (ขอขอบคุณข้อมูลจากDiscoveramerica)


3. ประตูสู่นรก (The door to hell) ประเทศเติร์กเมนิสถาน
อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสุดบันลือโลก ตั้งอยู่ในประเทศเติร์กเมนิสถาน The door to hell เป็นหลุมไฟขนาดมหึมาที่อยู่กลางทะเลทราย Karakum ซึ่งเกิดจากการที่นักวิทยาศาสตร์ชาวโซเวียตเข้าไปทำการค้นหาแหล่งพลังงานธรรมชาติในปี ค.ศ. 1971 แล้วค้นพบว่าพื้นที่แห่งนี้มีน้ำมัน จึงได้ทำการขุดเจาะ แต่ด้วยความที่หน้าดินของพื้นที่บริเวณนั้นบางเบา จึงทำให้หน้าดินถล่มลงไปเป็นหลุมกว้าง บริเวณใต้ดินมีก๊าซมีเทนจำนวนมาก จึงทำให้เกิดไฟลุกไหม้ทั่วทั้งหลุม และยังคงลุกโชนมาอย่างต่อเนื่องตลอด 40 กว่าปีที่ผ่านมา หลุมดังกล่าวนี้มีขนาดความกว้างรอบหลุมมากถึง 70 เมตร และลึกถึง 20 เมตร ซึ่งเป็นขนาดที่ใหญ่มาก จึงทำให้ที่แห่งนี้ได้รับฉายาว่า"ประตูสู่นรก"(ขอขอบคุณข้อมูลจากSometimes-Interesting)


4.ทะเลเกลือซาลาร์ เดอ อูยูนี ประเทศโบลิเวีย
ทะเลเกลือซาลาร์ เดอ อูยูนี ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศโบลิเวีย เป็นนาเกลือที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีพื้นที่มากถึง 4,086 ตารางไมล์ (10,582 ตารางกิโลเมตร) เมื่อถึงฤดูกาลที่ฝนมาเยี่ยมเยือน ที่แห่งนี้จะชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำใสที่ปกคลุมผลึกเกลือ ซึ่งสามารถส่องสะท้อนท้องฟ้าได้สวยงามราวกับกระจก จึงทำให้ช่างภาพมืออาชีพและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกต้องมาถ่ายภาพนาเกลือแห่งนี้กันสักครั้งในชีวิต (ขอขอบคุณข้อมูลจากBeautifulworld)


5.อุทยานแห่งชาติเดธวัลเลย์(Death Valley National Park) รัฐแคลิฟอร์เนียและรัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา
พื้นที่ของอุทยานคลอบคลุมพื้นที่ของทั้งรัฐแคลิฟอร์เนียและรัฐเนวาดา เป็นพื้นที่ลุ่มน้ำที่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล มีความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอย่างสุดขั้ว มีความแห้งแล้งและมักจะร้อนมากในช่วงฤดูร้อน ที่ยอดเขาสูงสุดในอุทยานมักจะมีหิมะปกคลุมในช่วงฤดูหนาว มีพายุหนักมากในช่วงหน้าฝน ซึ่งทำให้มีทุ่งดอกไม้ที่งดงามในอุทยานสิ่งที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากที่สุดก็คือ"ทะเลเกลือขนาดใหญ่"ครอบคลุมพื้นที่มากถึง 200 ตารางไมล์ ในช่วงหน้าร้อนที่น้ำระเหยออกไปหมด ก็จะหลงเหลือเพียงผลึกเกลือสีขาวสะอาดบนพื้นดิน ต้นไม้ต่าง ๆ ผลัดใบจนเหลือแต่กิ่งก้าน เป็นภาพที่สะท้อนคำว่า Death Valley ได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้ยังมีเนินทรายรูปทรงสวยงามเป็นจุดที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวอีกด้วย (ขอขอบคุณข้อมูลจากNPS)


6. หน้าผาโมเฮอร์ (Cliffs of Moher) ประเทศไอร์แลนด์
ในทุก ๆ ปีนักท่องเที่ยวมากกว่าหนึ่งล้านคนมุ่งตรงไปที่หน้าผาโมเฮอร์ เพื่อชมความสวยงามของพื้นที่แห่งนี้ หน้าผาโมเฮอร์เป็นพื้นที่ศึกษาทางธรณีวิทยามีระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร ตามแนวชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกของคันทรี แคลร์ ในทางตะวันตกของประเทศไอร์แลนด์ ซึ่งจากการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์พบว่าชั้นหินบริเวณหน้าผาแห่งนี้มีอายุมากกว่า 300 ล้านปี มีลักษณะเป็นหินทราย จึงถูกคลื่นและลมทะเลกัดเซาะเรื่อยมา จนกลายเป็นหน้าผาริมทะเลที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งบริเวณหน้าผาจะเป็นทุ่งหญ้าสีเขียวกว้างใหญ่ แซมด้วยดอกไม้ป่านานาพรรณหลากสีสัน ในวันที่ฟ้าเปิดสามารถมองเห็นเกาะใกล้เคียงได้อย่างชัดเจน เป็นจุดท่องเที่ยวที่สำคัญที่ต้องไปให้ได้เมื่อไปเยือนยุโรป (ขอขอบคุณข้อมูลจากCliffsofmoher)


7. บ่อน้ำพุร้อนแกรนด์พรีสเมติก (Grand Prismatic Spring) อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน สหรัฐอเมริกา
ตั้งอยู่ใน Midway Geyser Basin ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน เป็นบ่อน้ำพุร้อนที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ปากบ่อน้ำพุร้อนมีความกว้างประมาณ 112.8 เมตร และลึกถึง 37 เมตร อุณหภูมิของน้ำภายในบ่ออยู่ที่ประมาณ 147-188 องศาฟาเรนไฮต์ ไม่ใช่เพียงแค่เป็นบ่อน้ำพุร้อนที่ใหญ่ที่สุดเท่านั้น แต่แกรนด์พรีสเมติกยังเป็นบ่อน้ำพุร้อนที่สวยที่สุดในโลกอีกด้วย เพราะสีสันของน้ำจะไล่ไปตั้งแต่สีฟ้าเข้มจากตรงกลางบ่อแล้วค่อย ๆ อ่อนลงจนถึงขอบบ่อ ซึ่งแพลงตอนและสาหร่ายที่อยู่บริเวณขอบบ่อทำให้เกิดสีเหลืองอ่อนไล่ไปจนถึงน้ำตาลล้อมรอบบ่อ ตัดกับสีฟ้าของน้ำได้อย่างสวยงาม หากมองจากทางอากาศจะเห็นความงดงามของบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้ได้อย่างชัดเจน (ขอขอบคุณข้อมูลจากnpsและyellowstonenationalpark)


8. ถ้ำน้ำแข็งเมนเดนฮอลล์ (Mendenhall Ice Caves) รัฐอลาสก้า สหรัฐอเมริกา
ห่างจากตัวเมืองจูโน รัฐอลาสก้า ไปทางตะวันออกเฉียงใต้เพียง 12 ไมล์ ก็จะได้พบกับธารน้ำแข็งเมนเดนฮอลล์ เป็นธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่อยู่ในหุบเขาเมนเดนฮอลล์ ซึ่งภายในธารน้ำแข็งแห่งนี้นี่เองที่ได้ซ่อนความงดงามของธรรมชาติไว้ นั่นก็คือ"ถ้ำน้ำแข็งเมนเดนฮอลล์"ที่ภายในถ้ำมีสีฟ้าใสสะอาดราวกับคริสตัล การเดินทางเข้าไปยังถ้ำแห่งนี้ต้องพายเรือคายักเข้าไปเท่านั้น แต่เมื่อเข้าไปเห็นความสวยงามภายในแล้วจะหายเหนื่อยทันที นอกจากเพดานและผนังที่เป็นน้ำแข็งบริสุทธิ์แล้ว บริเวณพื้นช่วงหนึ่งภายในถ้ำยังมีสายน้ำเล็ก ๆ ไหลผ่านหินในพื้นถ้ำอีกด้วย สวยและมหัศจรรย์จนคุณแทบไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีที่แบบนี้อยู่บนโลกใบนี้ (ขอขอบคุณข้อมูลจากatlasobscuraและtraveljuneau)



9. เมืองเก่าคราโค (Craco) ประเทศอิตาลี
ตั้งอยู่บนภูเขาสูงในเมือง Matera ภูมิภาค Basilicata ของประเทศอิตาลี ห่างจากอ่าว Taranto เพียงแค่ 40 กิโลเมตรเท่านั้น บริเวณตัวเมืองล้อมรอบไปด้วยทัศนียภาพของภูเขาน้อยใหญ่ บ้านเรือนสร้างขึ้นจากหิน เรียงรายต่อกันอย่างสวยงามบนหน้าผาภูเขาสูง จึงทำให้มันกลายไปเป็นฉากสำคัญของภาพยนตร์ชื่อดัง อาทิ King David (1985) และ Passion of the Christ (2004) ชาวเมืองอพยพออกจากหมู่บ้านในช่วงปี ค.ศ. 1963 ด้วยปัญหาการทำเกษตรกรรมที่ซบเซาและที่หนักที่สุดคือแผ่นดินไหว จึงทำให้เมืองแห่งนี้กลายเป็นเมืองร้างนับตั้งแต่นั้น (ขอขอบคุณข้อมูลจากwhenonearthและsometimes-interesting)


10. นครวัด เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา
สถาปัตยกรรมทางวัฒนธรรมที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรขอม ในช่วงศตวรรษที่ 9-15 มีพื้นที่ทั้งหมดราว 400 ตารางกิโลเมตร ปราสาทนครวัดล้อมรอบด้วยคูน้ำ คล้ายกับให้เป็นเขาพระสุเมรุ ตัวปราสาทมีลักษณะเป็นปราสาท 5 ยอด สร้างขึ้นจากก้อนหินขนาดมหึมา เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ยังคงเป็นคำถามว่าในสมัยนั้นซึ่งยังไม่มีเทคโนโลยีหรืออุปกรณ์ที่ทันสมัย พวกเขาก่อสร้างปราสาทแห่งนี้กันได้อย่างไร นอกจากนี้บนผนังรอบ ๆ ตัวปราสาทยังเต็มไปด้วยภาพแกะสลักของนางอัปสร ซึ่งมีลวดลายที่อ่อนช้อย สวยงาม ได้รับการจดทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1992 (ขอขอบคุณข้อมูลจากunescoและtourismcambodia)


11. หุบเขาช็อกโกแลต เกาะ Bohol ประเทศฟิลิปปินส์
หุบเขาช็อกโกแลต เป็นหุบเขาที่มีภูเขามากกว่า 1,000 ลูก ซึ่งมีรูปทรงแปลกตา เรียงสลับซับซ้อนกันไปไกลสุดลูกหูลูกตา ภูเขาแต่ละลูกไม่ได้สูงมาก จากพื้นดินจนถึงยอดสูงโดยเฉลี่ยประมาณ 30-50 เมตร ลูกที่สูงที่สุดมีความสูง 120 เมตร ยามฤดูใบไม้ร่วงภูเขาทุกลูกจะมีสีน้ำตาล เมื่อมองไกล ๆ จึงมีลักษณะคล้ายกับสีของช็อกโกแลต เป็นที่มาของชื่อหุบเขาแห่งนี้ จากการศึกษาทางธรณีวิทยาสันนิษฐานว่าภูเขาเหล่านี้เกิดจากการก่อตัวของหินปูนในทะเล ซึ่งเมื่อมันอยู่รวมกันจำนวนมาก จึงเกิดเป็นทัศนียภาพที่สวยงาม แปลกตา (ขอขอบคุณข้อมูลจากChocolatehills)


12. ทุ่งดอกทิวลิปเคอเคนฮอฟ ประเทศเนเธอร์แลนด์
ความมหัศจรรย์ของสีสันของดอกทิวลิปที่บานสะพรั่งทั่วทั้งพื้นที่การเพาะปลูก ภายในสวนเคอเคนฮอฟ (Keukenhof) ส่งผลให้ที่แห่งนี้เป็นดินแดนในฝันของคนทั่วโลก สวนแห่งนี้มีพื้นที่ทั้งหมดมากกว่า 200 เฮกตาร์ มีการปลูกดอกทิวลิปมายาวนานถึง 66 ปี ในทุก ๆ ปีจะมีเทศกาลชมทุ่งทิวลิป ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม หรืออาจมีการเปลี่ยนแปลงตามการบานของดอกทิวทิป แต่สีสันของดอกทิวทิปก็ทำเอาผู้เข้าชมประทับใจไม่รู้ลืม (ขอขอบคุณข้อมูลจากKeukenhof)


13. แกรนด์แคนยอน รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา
แกรนด์แคนยอนเป็นดินแดนแห่งหุบเขาที่มีลักษณะสวยงามแปลกตา ซึ่งเกิดจากการที่ลม แสงแดด และฝน กัดเซาะจนทำให้มีลักษณะเป็นหุบเหว มีลวดลายบนพื้นหินที่สวยงาม มีความยาวประมาณ 446 กิโลเมตร กว้างประมาณ 29 กิโลเมตร มีความลึกจากพื้นดินจนถึงยอดหุบเขาประมาณ 1.6 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวนิยมที่จะเข้าไปเที่ยวชมแกรนด์แคนยอนในช่วงพระอาทิตย์ตกดิน เพราะแสงสีทองของพระอาทิตย์จะสะท้อนกับหุบเหวต่าง ๆ ทำให้หุบเขากลายเป็นสีทองด้วยเช่นกันและสามารถเห็นลวดลายบนหินได้อย่างชัดเจน (ขอขอบคุณข้อมูลจากnps)


14. ชิงเคว เทเร (Cinque Terre) ประเทศอิตาลี
ชิงเคว เทเร ประกอบไปด้วย 5 หมู่บ้าน คือ Monterosso, Vernazza, Corniglia, Manarola และ Riomaggiore ซึ่งแต่ละหมู่บ้านจะตั้งอยู่บนหน้าผา Ligurian ตามแนวชายฝั่งทางด้านตะวันตกของประเทศอิตาลี ลักษณะของบ้านเรือนที่นี่จะมีสีสันสดใส ตั้งเรียงรายลดหลั่นกันลงมาตามแนวภูเขาจรดผืนทะเล ชาวบ้านยังคงใช้ชีวิตเรียบง่าย ประกอบอาชีพทำประมงและทำไร่องุ่นเพื่อนำไปทำไวน์ บางหมู่บ้านสามารถเดินเชื่อมต่อถึงกันได้ด้วยทางเดินเล็ก ๆ ริมฝั่งทะเล ภายในแต่ละหมู่บ้านจะมีบรรยากาศเงียบสงบ นักท่องเที่ยวสามารถดื่มด่ำกับความงดงามของบ้านเรือนริมทะเลที่งดงามแปลกตา พร้อมทั้งลิ้มรสอาหารพื้นเมืองและวิถีชีวิตของคนอิตาลีที่แท้จริง (ขอขอบคุณข้อมูลจากInqueterre.a-turist)


15. ธารน้ำแข็งเปริโต โมเรโน (Perito Moreno Glacier) ประเทศอาร์เจนตินา
เป็นอีกหนึ่งธารน้ำแข็งที่สวยที่สุดในโลก ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของอุทยานแห่งชาติ Los Glaciares เป็นพื้นที่ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากเพราะมันมีการขยับขยายตลอดเวลา มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 600,000 เฮกตาร์ โดยธารน้ำแข็งที่อยู่เหนือทะเลสาบด้านหน้าสุดนั้นมีความสูงประมาณ 60 เมตร ยาวประมาณ 5 กิโลเมตร ซึ่งถือว่าเป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่มาก ปัญหาของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลกทำให้ธารน้ำแข็งถล่มลงในทุก ๆ ปี แต่ยังคงมีความสวยงามไม่เลือนหาย (ขอขอบคุณข้อมูลจากLosglaciares)


16. ทะเลสาบ Abraham รัฐอัลเบอร์ตา ประเทศแคนาดา
ทะเลสาบ Abraham เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในรัฐอัลเบอร์ตา เกิดจากการสร้างเขื่อนในแม่น้ำ Saskatchewan ทางตะวันตกของรัฐอัลเบอร์ตา ซึ่งด้านหลังของทะเลสาบจะเป็นแนวเทือกเขาร็อคกี้เมาน์เทนที่งดงาม รอบ ๆ ทะเลสาบเต็มไปด้วยต้นไม้นานาพรรณ น้ำในทะเลสาบมีสีฟ้าสดใสสวยงาม พร้อมทั้งอุดมไปด้วยสัตว์น้ำหลากหลายชนิด ในฤดูหนาวน้ำทั้งทะเลสาบจะกลายเป็นน้ำแข็ง แต่มีความมหัศจรรย์ที่มันจะมีฟองอากาศเกิดขึ้นในน้ำแข็ง ซึ่งเกิดจากก๊าซมีเทนใต้พื้นดินของทะเลสาบนั่นเอง (ขอขอบคุณข้อมูลจากLakelubbers)


17. ทะเลสาบ Yamdrok Yumtso เขตปกครองตนเองทิเบต
ทะเลสาบ Yamdrok Yumtso ทอดตัวยาวอยู่ทางใต้ของแม่น้ำ Yarlung Tsangpo ในภูมิภาค Shannan ซึ่งเป็นหนึ่งในสามทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ของทิเบต และเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเทือกเขาหิมาลัย มีพื้นที่ประมาณ 638 ตารางกิโลเมตร ความสวยงามของทะเลสาบแห่งนี้คือ น้ำในทะเลสาบจะเป็นสีฟ้าใส สีเขียว สลับกันไปตามสภาพภูมิอากาศ ล้อมรอบไปด้วยหุบเขาอันอุดมสมบูรณ์ มีอากาศบริสุทธิ์ จึงทำให้นักท่องเที่ยวที่มาเยือนที่แห่งนี้ต้องมนตร์เสน่ห์ หลงรักทะเลสาบ Yamdrok Yumtso ไปตาม ๆ กัน (ขอขอบคุณข้อมูลจากTravelchinaguide)


18. ภูเขาโรไรมา (Mount Roraima) ประเทศเวเนซุเอลา, บราซิล และกายอานา
เป็นภูเขาที่มีความเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตั้งอยู่ระหว่างพรมแดนประเทศเวเนซุเอลา ประเทศบราซิล และประเทศกายอานา ในทวีปอเมริกาใต้ ภูเขาลูกนี้ชื่อเรียกอื่น ๆ คือ Roraima Tepui และ Cerro Roraima มีลักษณะเป็นภูเขารูปทรงสามเหลี่ยม ด้านข้างทั้งหมดเป็นหน้าผาตัดทำมุม 90 องศา บริเวณฐานของภูเขาเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี เป็นภูเขาที่ตั้งโดดเด่น สง่างาม โดยมีความสูงถึง 2,772 เมตร หากมองจากอากาศในวันที่หมอกมากจะเห็นเพียงบริเวณด้านบนของภูเขาโผล่พ้นสายหมอกขึ้นมาเท่านั้น สวยงามราวกับสวรรค์บนฟ้าเลยทีเดียว (ขอขอบคุณข้อมูลจากTourismontheedge)


19. ทุ่งหญ้า Mongolian-Manchurian ตอนเหนือของประเทศจีน

ทุ่งหญ้า Mongolian-Manchurian อยู่บริเวณชายแดนทางตอนเหนือของประเทศจีนไล่ยาวไปจนถึงป่าทางตอนใต้ของประเทศไซบีเรีย มีพื้นที่ทั้งหมดราว 342,600 ตารางไมล์ เป็นทุ่งหญ้าสีเขียวที่มักจะมีดอกไม้พื้นเมืองขึ้นแซมในทุกฤดูกาล อากาศจะอบอุ่นในช่วงหน้าร้อน จะมีลมแรงและหนาวมากในช่วงหน้าหนาว ซึ่งบริเวณทุ่งหญ้าจะมีละมั่งมองโกเลียอาศัยอยู่ พร้อมทั้งสัตว์ป่าอื่น ๆ อีกหลากหลายชนิด (ขอขอบคุณข้อมูลจากWorldwildlife)


20. หน้าผา Trolltunga ประเทศนอร์เวย์


Trolltunga เป็นหนึ่งในหน้าผาที่มีความหวาดเสียวที่สุดในโลก แต่ก็เป็นหน้าผาที่มีทัศนียภาพที่งดงามที่สุดในโลกเช่นกัน หน้าผาแห่งนี้มีลักษณะเป็นแผ่นหินบางเฉียบยื่นออกไปในอากาศคล้ายกับลิ้น ซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเลมากถึง 1,100 เมตร และลอยตัวอยู่เหนือทะเลสาบ Ringedalsvatnet ใน Skjeggedal สูงกว่า 700 เมตร การที่จะขึ้นไปยังหน้าผา Trolltunga ต้องใช้การเดินเท้าขึ้นไปเท่านั้น ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 8-10 ชั่วโมง แต่ทัศนียภาพที่สวยงามสุดอลังการของภูเขาและทะเลสาบที่สามารถมองได้จากด้านบน ก็ถือว่าคุ้มค่ากับความเหนื่อย ฤดูกาลที่เหมาะสมที่สุดในการเยือนหน้าผาแห่งนี้คือช่วงกลางเดือนมิถุนายนจนถึงกลางเดือนกันยายน (ขอขอบคุณข้อมูลจากVisitnorway)

แต่ละสถานที่ก็มีความสวยงามที่แตกต่างกันออกไป ใครชอบแบบไหนก็เตรียมวางแผนไปผจญภัยกันให้ได้สักครั้งในชีวิต เกิดมาทั้งทีก็ต้องใช้ชีวิตให้คุ้มนะคะ



บทความแนะนำ


ล่องแก่งเที่ยวจีนเรื่องแปลกราชสีมาสุนารีดูหมาไซคีเดลิคSLURทรงผมทรงผมสั้นทรงผมประบ่าทรงผมถักเปียดูดวงดวงความรัก