ไหว้พระ 9 วัด ขอพร 9 พระอารามหลวง
"การเริ่มต้นที่ดี คือส่วนหนึ่งของความสำเร็จ" จากคติดังกล่าวทำให้ช่วงวันปีใหม่หลาย ๆ คนมักเดินทางไปสักการะสถานที่อันเป็นมงคล เพื่อไหว้พระขอพรรับปีใหม่ วันนี้เราเลยนำสถานที่ "ไหว้พระขอพร 9 พระอารามหลวง"
ในกรุงเทพฯ มาแนะนำกันค่ะ เพื่อการเริ่มต้นอย่างมีความสุขสงบทางใจ
ตามคติความเชื่อของไทย
อีกทั้งยังเป็นการเรียนรู้ถึงคุณค่าของโบราณสถานที่สำคัญของเกาะรัตน
โกสินทร์และบริเวณโดยรอบอีกด้วย
สำหรับ 9 พระอารามหลวง ได้แก่...
1. วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร
คติ : เดินทางปลอดภัยดี มีมิตรไมตรีที่ดี
เครื่องสักการะ : ธูป 3 ดอก เทียนแดงคู่ ดอกไม้พวงมาลัย
ประวัติ/ความเป็นมา
วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร ตั้งอยู่แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี
เป็นพระอารามหลวงชั้นโท เจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร)
ได้อุทิศที่ดิน ซึ่งบริเวณดังกล่าวเดิมเรียกว่า "หมู่บ้านกุฎีจีน" วัดนี้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2368 ในสมัยรัชกาลที่ 3 และได้ถวายเป็นพระอารามหลวง ได้รับพระราชทานนามว่า "วัดกัลยาณมิตร" พร้อมกับทรงสร้างพระวิหารหลวงเพื่อเป็นที่ประดิษฐาน "พระพุทธไตรรัตนนายก" (หลวงพ่อโต) ซึ่งเป็นชื่อที่ได้รับพระราชทานจากรัชกาลที่ 4 หรือเรียกตามแบบจีนว่า ชำปอฮุดกง หรือ ชำปอกง
วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร
เป็นวัดเดียวในประเทศไทยที่มีองค์พระประธานเป็นพระพุทธรูปปางปาลิไลยก์
โดยประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถ ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องพุทธประวัติ
นอกจากนี้ ยังมีหอพระธรรมมณเฑียรเถลิงพระเกียรติ
เป็นที่เก็บพระไตรปิฎกและพระคัมภีร์ต่าง ๆ ซึ่งรัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ
ให้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2408
2. วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร
คติ : มีชัยชนะต่ออุปสรรคทั้งปวง
เครื่องสักการะสำหรับพระประธานในโบสถ์ : ธูป 3 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกบัว 1 ดอก
เครื่องสักการะสำหรับรูปเคารพสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท : ธูป 5 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกบัว 1 ดอก
ประวัติ/ความเป็นมา
วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่บนถนนจักรพงษ์ แขวงบางลำพู เขตพระนคร
เป็นพระอารามหลวงชั้นโท สร้างสมัยก่อนกรุงรัตรโกสินทร์
สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงสถาปนาวัดขึ้นมาใหม่ และรัชกาลที่ 1
โปรดเกล้าฯ ให้เป็นวัดพระสงฆ์ฝ่ายราชสามัญ
เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ทหารรามัญในกองทัพของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุ
รสิงหนาท ต่อมาเมื่อมีชัยชนะต่อกองทหารข้าศึกถึง 3 ครั้ง
จึงพระราชทานนามใหม่ว่า "วัดชนะสงคราม"
วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร มีพระพุทธรูปปูนปั้นลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย เป็นพระประธาน มีพระนามว่า "พระพุทธนรสีห์ตรีโลกเชฏฐ์ มเหทธิศักดิ์ปูชนียะชยันตะโคดมบรมศาสดา อนาวรญาณ" ประดิษฐาน ณ พระอุโบสถ
3. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร
คติ : ร่มเย็นเป็นสุข
เครื่องสักการะ : ธูป 9 ดอก เทียนคู่ ทองคำเปลว 11 แผ่น
ประวัติ/ความเป็นมา
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร หรือที่รู้จักกันในนาม "วัดโพธิ์" ตั้งอยู่ด้านหลังพระบรมมหาราชวัง ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก เดิมชื่อ "วัดโพธาราม"
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงบูรณะและโปรดเกล้าฯ
ให้สร้างประเจดีย์เพื่อบรรจุพระพุทธรูปพระศรีสรรเพชญ์
ซึ่งอัญเชิญมาจากกรุงศรีอยุธยา ต่อมาใน พ.ศ. 2377 รัชกาลที่ 3
ทรงโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะพระเจดีย์ แล้วพระราชทานนามว่า "พระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชญดาญาณ" และทรงสร้าง "พระมหาเจดีย์ดิลกธรรมกนิธาน" เพื่ออุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยรัชกาลที่ 2 และทรงมีพระราชประสงค์ให้วัดโพธิ์เป็น "มหาวิทยาลัยสำหรับประชาชน" จึงโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมสรรพวิชาความรู้มาจารึกบนแผ่นศิลาติดไว้บริเวณพระอุโบสถ เพื่อให้ประชาชนมาศึกษาหาความรู้
ที่วัดโพธิ์มี "พระพุทธเทวปฏิมากร" ประดิษฐาน
อยู่ภายในพระอุโบสถ ใต้ฐานชุกชี บรรจุพระบรมอัฐิของรัชกาลที่ 1
มีพระวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปไสยาสน์ที่สวยงามที่สุด
และองค์ใหญ่เป็นอันดับ 4 ในประเทศไทย
เป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนพื้นพระบาทประดับมุก เป็นภาพมงคล 108 ประการ
นอกจากนั้น วัดโพธิ์ยังมีเจดีย์ทั้งสิ้น 99 องค์
ถือว่าเป็นวัดที่มีเจดีย์มากที่สุดในประเทศไทย และมีพระมหาเจดีย์ 4 รัชกาล
คือ รัชกาลที่ 1-4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
4. วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
คติ : เพื่อจิตใจสะอาด ดุจรัตนตรัย
เครื่องสักการะ : ธูป 3 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกไม้
ประวัติ/ความเป็นมา
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว ตั้งอยู่บริเวณสนามหลวง
ถนนหน้าพระลาน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร
เป็นพระอารามที่อยู่ในบริเวณพระบรมมหาราชวัง รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ
ให้สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2326
เพื่อความสะดวกเวลาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงบำเพ็ญพระราชกุศลตามราช
ประเพณี และเพื่อเป็นที่บรรจุพระอัฐิอายุของพระเจ้าแผ่นดินเจ้านายในราชสกุล
ภายในวัดพระแก้วมีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย อาทิ พระอุโบสถอันเป็นที่ประดิษฐาน
"พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร" (พระแก้วมรกต) ที่พระระเบียงมีจิตรกรรม
ฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ที่วิจิตรสวยงามและยาวที่สุดในโลก
มีปราสาทพระเทพบิดร ซึ่งเป็นปราสาทยอดปรางค์
เป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปรัชกาลที่ 1-8
มีพระศรีรัตนเจดีย์ประดับกระเบื้องสีทองทั้งองค์เป็นที่ประดิษฐานพระบรม
สารีริกธาตุมีหอพระราชพงศานุสรณ์เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปประจำรัชกาลของ
พระมหากษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
มีหอระฆังที่มีระฆังซึ่งตีมีเสียงดังกังวานดี
มีพระบรมราชานุสาวรีย์ประจำรัชกาลของพระมหากษัตริย์กรุงรัตนโกสินทร์และยัง
มีรูปยักษ์ 6 คู่ เป็นรูปยักษ์ตัวสำคัญจากเรื่องรามเกียรติ์
เป็นปูนปั้นทาสี ประดับกระเบื้องเคลือบสีต่าง ๆ สูงประมาณ 6 เมตร
ตั้งประจำที่ช่องประตูพระระเบียง
5. วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร
คติ : ชื่อเสียงโด่งดัง คนนิยมชมชอบ
เครื่องสักการะ : ธูป 3 ดอก เทียนคู่ ทองคำเปลว
ประวัติ/ความเป็นมา
วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม "วัดระฆัง"
ตั้งอยู่บนถนนอรุณอัมรินทร์ แขวงศิริราช
เขตบางกอกน้อยเป็นพระอารามหลวงชั้นโท เดิมชื่อว่า "วัดบางว้าใหญ่"
เป็นวัดโบราณมีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา
พระอุโบสถเป็นสถาปัตยกรรมในสมัยรัชกาลที่ 1
มีลายหน้าบันเป็นรูปนารายณ์ทรงครุฑ ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังพระอุโบสถนี้
เป็นที่ประดิษฐานของพระประธานซึ่งรัชกาลที่ 5 ทรงเรียกว่า "พระประธานยิ้มรับฟ้า"
นอกจากนี้ ยังมีหอไตรเป็นรูปเรือนสามหลังแฝด
ภายในมีภาพจิตรกรรมที่สำคัญหลายแห่งทั้งบานประตู
และฝาผนังรวมทั้งตู้พระไตรปิฏกสมัยกรุงศรีอยุธยา
วัดระฆังเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
สมเด็จพระราชาคณะในสมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งเป็นพระเถระผู้ทรงเกียรติคุณ
วิทยาคุณโด่งดังมากแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน การไปสักการะสมเด็จพุฒาจารย์
เพื่อขอพรโดยการสวดคาถาชินบัญชรเมื่อสวดจบแล้ว
ปักธูปที่กระถางและปิดทองที่รูปปั้น
แล้วอย่าลืมพรมน้ำมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล
6. วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร
คติ : วิสัยทัศน์กว้างไกล มีเสน่ห์แก่คนทั่วไป
เครื่องสักการะ : ธูป 3 ดอก เทียน 1 เล่ม
ประวัติ/ความเป็นมา
วัดสุทัศนเทพวรารามวรมหาวิหาร ตั้งอยู่บริเวณเสาชิงช้า
ตรงข้ามศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร
เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก และเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 8 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
เดิมชื่อ "วัดมหาสุทธาวาส" วันนี้เริ่มสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2350 เสร็จสมบูรณ์ พ.ศ. 2390 ในสมัยรัชกาลที่ 3 และได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า "วัดสุทัศนเทพวราราม"
ที่พระวิหารมี "พระศรีศากยมุนี"
เป็นพระประธานซึ่งอัญเชิญมาจากสุโขทัยเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยหล่อด้วย
สำริดถอดแบบมาจากพระวิหารพระมงคลบพิตร กรุงศรีอยุธยา
บานประตูใหญ่ของพระวิหารสลักไม้สวยงามรอบพระวิหารมีถะ
หรือเจดีย์ศิลาแบบจีนตั้งอยู่บนฐานทักษิณ เป็นถะ 6 ชั้น จำนวน 28 องค์
มีพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธตรีโลกเชฏฐ์ เป็นพระประธานปางมารวิชัย
ใหญ่กว่าพระที่หล่อในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ องค์อื่น ๆ
มีภาพจิตรกรรมฝาผนังอันเป็นฝีมือช่างชั้นครูในสมัยรัชกาลที่ 3 ที่งดงามมาก
พระอุโบสถนี้นับว่ายาวที่สุดในประเทศไทย นอกจากนี้
ยังมีศาลาการเปรียญที่มีพระพุทธเสรฏฐมุนี
เป็นพระประธานที่หล่อด้วยกลักฝิ่นเมื่อ พ.ศ. 2382 ในสมัยรัชกาลที่ 3
เช่นกัน
7. วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร
คติ : ชีวิตรุ่งโรจน์ทุกคืนวัน
เครื่องสักการะ : ธูป 3 ดอก เทียนคู่
ประวัติ/ความเป็นมา
วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ข้างกองทัพเรือ ถนนอรุณอัมรินทร์
เขตบางกอกใหญ่ เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก สร้างสมัยกรุงศรีอยุธยา
เดิมชื่อวัดมะกอก เมื่อ พ.ศ. 2310 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
(พระเจ้ากรุงธนบุรี)
เสด็จทางชลมารคจากกรุงศรีอยุธยามารุ่งเช้าที่หน้าวัดมะกอก
จึงโปรดเกล้าฯให้ปฏิสังขรณ์ แล้วเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "วัดแจ้ง" ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 2 ได้ทรงปฏิสังขรณ์และพระราชทานนามใหม่ว่า "วัดอรุณราชวราราม"
ในสมัยกรุงธนบุรีวัดอรุณราชวรารามเคยเป็นที่ประดิษฐานของพระแก้วมรกต
ก่อนที่จะอัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดพระแก้ว
นอกจากนั้นยังมียักษ์ปูนปั้นขนาดใหญ่ 2 ตน
ตั้งอยู่หน้าประตูซุ้มยอดพระมงกุฏ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในนาม "ยักษ์วัดแจ้ง"
ภายในวัดอรุณราชวรารามนี้มีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย อาทิ
มีพระปรางค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกสูง 33 วาเศษ
ประดับด้วยชิ้นกระเบื้องเคลือบสีต่าง ๆ ยอดพระปรางค์เป็นนภศูล
ในสมัยรัชกาลที่ 3 มีปรางค์ทิศทั้ง 4 ประดิษฐานพระพุทธรูปปางประสูติ
เทศน์พระธัมมจักร ตรัสรู้ นิพพาน การเดินเวียนทักษิณาวัดรอบพระปรางค์ 3 รอบ
โดยเดินเวียนขวา (ตามเข็มนาฬิกา) เพื่อความเป็นสิริมงคล
มีพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐาน "พระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก" ซึ่ง
รัชกาลที่ 2 ทรงปั้นหุ่นและพระพักตร์ด้วยฝีพระหัตถ์พระองค์เอง
และยังมีพระวิหารที่มีพระบรมสารีริกธาติที่เกศพระพุทธชมภูนุชฯ
มีพระอรุณหรือพระแจ้ง ที่รัชกาลที่ 4 ทรงอัญเชิญมาจากเวียงจันทน์
8. วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร
คติ : พบแต่สิ่งดีงามในชีวิต
เครื่องสักการะ : ธูป 9 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกบัว 3 ดอก
ประวัติ/ความเป็นมา
วัด
บวรนิเวศราชวรวิหาร หรือวัดบวรนิเวศวิหาร
ตั้งอยู่ริมถนนบวรนิเวศและถนนพระสุเมรุ แขวงนิเวศ เขตพระนคร
เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชชวรวิหาร
สมเด็จพระบวรราชเจ้ากรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพกรมพระราชวังบวรสถานมงคล
ในรัชกาลที่ 3 ทรงสร้างขึ้นใหม่ระหว่าง พ.ศ. 2367-2375 เดิมมีชื่อเรียกว่า
วัดใหม่ ได้รับพระราชทานชื่อใหม่ เมื่อรัชกาลที่ 3
ทรงอาราธนาสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ามงกุฎเสด็จมาประทับเมื่อปี พ.ศ. 2375
นอกจากนี้ ยังเป็นวัดที่รัชกาลที่ 6 รัชกาลที่ 7 และรัชกาลปัจจุบันทรงผนวช
เป็นวัดของคณะ สงฆ์ฝ่ายคามวาสีของธรรมยุติกนิกาย
สิ่งสำคัญภายในวัดบวรนิเวศวิหาร ได้แก่ พระอุโบสถ เป็นอาคารแบบตรีมุข
หน้าบันประดับกระเบื้องเคลือบ ตรงกลางมีตรามหามงกุฎ
พระประธานในพระอุโบสถและพระพุทธชินสีห์ วิหารพระศาสดา พระเจดีย์ใหญ่
และพระตำหนักปั้นหยา สถานที่ประทับของพระมหากษัตริย์และเจ้าฟ้าที่ทรงผนวช
9. วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร
คติ : เสริมสร้างความคิดอันเป็นสิริมงคล
เครื่องสักการะ : ธูป 9 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกบัว 3 ดอก
ประวัติ/ความเป็นมา
"วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร" ตั้ง
อยู่บริเวณปากคลองมหานาค แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย
เป็นพระอารามหลวงชั้นโท เป็นวัดสำคัญคู่มากับการสร้างกรุงเทพมหานคร
เป็นวัดโบราณสร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อวัดสะแก รัชกาลที่ 1
ทรงปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่โปรดให้ขุดคลองรอบพระอารามและพระราชทานนามว่า
วัดสระเกศ จนถึงสมัยรัชกาลที่ 3
โปรดให้บูรณปฏิสังขรณ์ทั่วทั้งพระอารามและสร้างสิ่งต่าง ๆ เพิ่มเติม เช่น พระบรมบรรพต หรือ ภูเขาทอง
สิ่งสำคัญภายในวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ได้แก่ พระบรมบรรพตหรือภูเขาทอง
ซึ่งสร้างเป็นพระปรางค์ในสมัยรัชกาลที่ 3 แต่เกิดทรุดพังลง รัชกาลที่ 4
โปรดให้ซ่อมแซม โดยแปลงเป็นภูเขาและก่อพระเจดีย์ไว้บนยอด
ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ สร้างแล้วเสร็จในสมัยรัชกาลที่ 5
นอกจากนี้ภายในพระอุโบสถที่ภายในมีภาพเขียนจิตรกรรมฝีมือช่าง สมัยรัชกาลที่
3 และหอไตร ศิลปะสมัยอยุธยา บานหน้าต่างเป็นลายรดน้ำ
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก ททท