มนต์ขลังเมืองปราสาทหิน ถ้าพลาด?แสดงว่ามาไม่ถึงบุรีรัมย์
?เมืองปราสาทหิน
ถิ่นภูเขาไฟ ผ้าไหมสวย รวยวัฒนธรรม? คือคำขวัญจังหวัดบุรีรัมย์
ซึ่งว่ากันว่า ถ้าไม่ได้มาปราสาทพนมรุ้ง ก็เหมือนมาไม่ถึงบุรีรัมย์
เพราะที่นี่ถือว่าเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของจังหวัดบุรีรัมย์เลยล่ะปราสาทหินพนมรุ้ง
ห่างจากกรุงเทพฯ ราวสามร้อยกิโลเมตร วิ่งตรงบนถนนโชคชัย-เดชอุดม
จะเห็นป้ายบอกทางไปปราสาทเขาพนมรุ้งเต็มไปหมด
ปราสาทแห่งนี้ตั้งอยู่บนยอดเขาพนมรุ้ง ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว
ในตำบลตาเป๊ก อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์
เป็นโบราณสถานศิลปะลพบุรีที่มีความงดงาม
และมีความสำคัญมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทยหากมองผ่านๆ ตัวปราสาทพอจะเดาได้ว่า ต้องเป็นศิลปะฮินดูผสมกับขอมแน่นอน
สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่องค์พระศิวะ เทพเจ้าสูงสุดในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย
ที่นี่จึงเปรียบเสมือนเขาไกรลาศอันเป็นที่ประทับของพระศิวะ
และยังเป็นสัญลักษณ์ของศูนย์กลางจักรวาลอีกด้วย โดยสร้างขึ้นหลายยุคสมัย
ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 15-18 (นานมาก)
หลังจากจอดรถ ค่อยๆ เดินทอดน่องมาเรื่อยๆ ผ่านบันไดต้นทาง
จะเห็นพลับพลาทางขวามือ มีลักษณะเป็นห้องแคบยาวต่อเนื่อง
สันนิษฐานว่าเป็นพลับพลาเปลื้องเครื่องสำหรับกษัตริย์หรือเจ้านายชั้นสูง
เพื่อทำความบริสุทธิ์ให้แก่ตน ก่อนจะเข้าสู่ภายในปราสาทประธานที่อยู่บนเขา
หลังจากนั้น จะเห็นเสาคล้ายดอกบัวตูม 70
ต้นตั้งเรียงรายสองข้างทางที่ปูด้วยหินศิลาแลง เรียกว่า ?เสานางเรียง?
สันนิษฐานว่า เป็นหญิงสาวที่มายืนโปรยดอกไม้ต้อนรับกษัตริย์ในสมัยนั้น
บริเวณสะพานนาคราช 5 เศียรที่หันหน้าไปทั้ง 4 ทิศ
คือจุดเชื่อมทางเดินและบันไดขึ้นปราสาท
ตรงกลางจะเห็นลายเส้นรูปดอกบัวแปดกลีบ หมายถึงทิศทั้งแปดของจักรวาล
และเทพประจำทิศทั้งแปดในศาสนาฮินดู
ทุกอย่างที่สร้างขึ้นล้วนแต่มีความหมายจริงๆ
ก่อนจะเข้าไปในตัวปราสาท จะเห็นสะพานนาคราชชั้นที่ 2
รวมถึงระเบียงคดที่โอบล้อมตัวปราสาททั้งสี่ด้าน ผนังด้านนอกมีหน้าต่างหลอก
ส่วนขวามือจะเป็นสระน้ำ ที่เดิมเป็นปากปล่องภูเขาไฟ
ไฮไลต์ที่ต้องเจอคือ ?ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์?
ประดับอยู่ด้านบรรณของปรางค์ประธาน
ซึ่งเคยถูกโจรกรรมนำไปขายให้กับสถาบันศิลปะแห่งชิคาโก หลังจากใช้เวลาเจรจา
ทำเรื่องร้องขอให้ส่งกลับมาไทยอยู่นานราว 20 ปี ปี พ.ศ. 2531
ไทยจึงได้รับชิ้นส่วนทับหลังคืนกลับมา
เนื่องจากทางชิคาโกทนแรงกดดันจากหลายๆ ฝ่ายไม่ไหว
เรียกว่าเป็นมหากาพย์ก็ไม่ผิด ด้านในจะเป็น ?ศิวลึงค์?
เชื่อว่าเป็นรูปเคารพที่สำคัญที่สุด เนื่องจากเป็นตัวแทนพระศิวะ
นอกจากนั้น ยังมีส่วนต่างๆ ในปราสาท ไม่ว่าจะเป็น
ปราสาทอิฐสองหลังที่พังทลายลงมาแล้ว ปรางค์น้อย บรรณาลัย
เนื้อที่บนปราสาทดูไม่ใหญ่เท่าไรนัก แนะนำเตรียมน้ำไว้ดื่ม
รวมถึงร่มกันแดดได้จะดีมาก เพราะอากาศวันที่ผู้เขียนเดินทางไป
ไม่ค่อยเป็นมิตรสักเท่าไรนัก
ไฮไลต์อีกอย่าง ช่วงวันที่ 3-5 เมษายน และ 8-10 กันยายน ของทุกปี
ดวงอาทิตย์ขึ้น ส่องแสงลอดประตูทั้ง 15 บาน
ชาวบ้านจะเดินเท้าขึ้นมาเพื่อชมความอลังการที่ผสานระหว่างธรรมชาติและสิ่ง
ก่อสร้างของบรรพชน นอกจากนี้ในวันที่ 6-8 มีนาคม และ 6-8 ตุลาคม ของทุกปี
ดวงอาทิตย์ก็ตก ส่องแสงลอดประตูทั้ง 15 บาน เช่นกัน
ซึ่งบรรดานักท่องเที่ยวต่างให้ความสนใจพอควรศูนย์ข้อมูลการเรียนรู้
นอกจากตัวปราสาทเองแล้ว
ทางอุทยานยังมีศูนย์บริการข้อมูลแก่นักท่องเที่ยวที่รวมวัตถุโบราณมากมายพบ
จากบริเวณใกล้เคียงมารวมไว้อีกด้วยไม่ว่าจะเป็นศิลาจารึก รูปปั้นต่างๆ ฯลฯ
เรียกว่าพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อมก็ไม่ผิด
ที่สำคัญนักท่องเที่ยวที่ซื้อบัตรผ่านแล้ว สามารถเข้าชมฟรีอีกด้วยหากใครอยากได้ของติดไม้ติดมือกลับบ้าน บริเวณลานจอดรถยังมีร้านค้าขายของเบ็ดเตล็ดเรียงรายเป็นแถว
ถึงคราที่ผู้เขียนต้องเซย์กู๊ดบาย
หลังจากเดินเที่ยวท่ามกลางแสงแดดที่สาดส่องมายังผิวกายอย่างไม่ปราณี
แต่ขอฝากไว้ หากมาเที่ยวบุรีรัมย์
ก็อย่าลืมแวะมาเยี่ยมชมความอลังการกันสักครั้ง
เพราะที่นี่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ และเป็นสถานที่สำคัญของชาวบุรีรัมย์
จะว่าของคนไทยก็ไม่ผิด ทั้งนี้เพื่อให้การเที่ยวเมืองไทยดังไปไกลทั่วโลก