สุดอลังการ 12 สิ่งมหัศจรรย์มรดกโลก ที่ต้องไปทำความรู้จัก
12 ที่เที่ยวมรดกโลกสุดอัศจรรย์ ที่งดงามด้วยสถาปัตยกรรม การออกแบบ และการตกแต่งด้วยศิลปะในยุคโบราณ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวต่างประเทศสวย ๆ ที่ต้องใส่ไว้ในลิสต์ Dream Destination
กว่าที่จะมีปัจจุบันนี้ได้ โลกของเราผ่านมาหลายยุคหลายสมัย
ต่างพื้นที่ก็มีธรรมชาติ และศิลปวัฒนธรรมที่แตกต่างกันออกไป
มีสถานที่มากมายที่มีคุณค่า สมควรแก่การอนุรักษ์ให้อยู่คู่โลกใบนี้ไปตลอด
ปัจจุบันมีองค์การยูเนสโกเป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบและคุ้มครองดูแลสถานที่และ
แหล่งธรรมชาติที่มีความสำคัญยิ่งของโลก
ซึ่งมีสถานที่ทางวัฒนธรรมและแหล่งธรรมชาติได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลก
แล้วจำนวน 1,007 แห่ง และเว็บไซต์ escapehere.com ได้หยิบยก 12 สถานที่มรดกโลกสุดอัศจรรย์มาให้เราได้ชมกัน แต่ละสถานที่นั้นเรียกได้ว่าสวยจนทึ่ง อึ้ง กันไปเลยทีเดียว จะมีที่ไหนบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ
1. เมืองโบราณเยรูซาเล็ม ประเทศอิสราเอล
ความอลังการของสถาปัตยกรรม
แห่งเมืองโบราณเยรูซาเล็ม ประเทศอิสราเอล
เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน มีอายุมากกว่า 3,000 ปี
สร้างขึ้นโดย พระเจ้าเดวิด
พระมหากษัตริย์พระองค์ที่สองของราชอาณาจักรอิสราเอล
เป็นศูนย์รวมความศรัทธาแห่ง 3 ศาสนา คือ ศาสนายูดาห์ (ยิว) ศาสนาคริสต์
และศาสนาอิสราม
ลักษณะ
อาคารและกำแพงเมืองสร้างขึ้นจากหิน โอบล้อมรอบเมืองด้วยกำแพงยาวประมาณ 4
กิโลเมตร มีประตูทางเข้าออก 7 ประตู หอคอยโดยรอยทั้งหมด 34 แห่ง
มีโดมสีทองเป็นศูนย์กลาง (Dome of the Rock)
ตกแต่งด้วยหินสีและกระเบื้องลวดลายเรขาคณิตและดอกไม้อย่างสวยงาม
ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมือง ที่กำแพงเมืองทางด้านฝั่งตะวันตก
หรือกำแพงร้องไห้ (Wailing Wall) คือจุดศูนย์รวมของชาวยิว
ที่จะมาสวดมนต์ขอพรและระบายความทุกข์ใจของแต่ละคนต่อพระเจ้า
จึงมีการร่ำไห้ต่อกำแพงแห่งนี้ทุกวัน ทางด้านหนึ่งเป็นโบสถ์แห่งศาสนาคริสต์
ซึ่งเป็นที่ฝังศพและฟื้นคืนชีพของพระเยซู
เป็นที่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของคริสเตียน
แม้ว่าเมืองเยรูซาเล็มจะมีประชากรที่มีความแตกต่างทางด้านศาสนาแต่พวกเขาก็
สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข
ทั้งหมดคือคุณค่าที่เมืองโบราณแห่งนี้ควรถูกจารึกไว้ให้เป็นมรดกโลก
ได้รับการบันทึกเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1981
2. พระราชวังฟงแตนโบลและสวนโดยรอบ ประเทศฝรั่งเศส
ห่างจากกรุงปารีสไปทางตะวัน
ออกเฉียงใต้ประมาณ 60 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของพระราชวังฟงแตนโบล
พระราชวังที่มีความสวยงามทางด้านสถาปัตยกรรม โอบล้อมไปด้วยสวนที่ร่มรื่น
งดงาม มีการใช้สถานที่แห่งนี้มาตั้งแต่ในศตวรรษที่ 12 พระเจ้าฟรองซัวส์ที่ 1
(Francois I) มีบทบาทอย่างมากในการดำเนินการสร้างพระราชวังฟงแตนโบล
พระองค์ทรงตั้งใจที่จะทำให้ที่พระราชวังแห่งนี้เป็นกรุงโรมแห่งใหม่
จึงให้สถาปนิกซึ่งมีชื่อเสียงจากอิตาลี ชิลส์ เลอ เบรตอง (Gilles le
Breton) มาดำเนินการสร้างอาคารและพื้นที่โดยรอบ
ทำให้พระราชวังฟงแตนโบลมีกลิ่นอายของศิลปะอิตาลีอยู่มาก
พระราชวังแห่งนี้มีการรต่อเติมและเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยของกษัตริย์หลาย
พระองค์ แต่ที่โดดเด่นที่สุดก็คือ สมัยของนโปเลียน โบนาปาต (Emperor
Napoleon Bonaparte) ภาพแห่งการบัญชาการรบบนบันไดเกือกม้า (Escalier du Fer
a Cheval) เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนไม่ลืมเลือน
ได้รับการจดบันทึกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1981
3. เชสกีกรุมลอฟ สาธารณรัฐเช็ก
เชสกีกรุมลอฟ เป็นเมืองเล็ก
ๆ อยู่ทางตอนใต้ของสาธารณรัฐเช็ก มีมาตั้งแต่สมัยยุคกลาง
ลักษณะบ้านเรือนมีความโดดเด่น ด้วยเกือบทุกหลังจะมีหลังคาสีน้ำตาล
มีปราสาทกรุมลอฟที่ใหญ่เป็นอันดับสองของสาธารณรัฐเช็ก
สถาปัตยกรรมของปราสาทและบ้านเรือนในเมืองผสมผสานระหว่างศิลปะแบบโกธิค
เรเนซองส์ และบารอก เป็นเมืองที่โอบล้อมไปด้วยภูเขาและธรรมชาติที่สวยงาม
อยู่ในส่วนของคุ้งแม่น้ำ Vltava เมืองแห่งนี้มีประชากรอยู่เพียง 1,400
คนเท่านั้น สิ่งที่นักท่องเที่ยวจะพลาดไม่ได้ก็คือการเข้าชมปราสาทกรุมลอฟ
ซึ่งประกอบไปด้วยอาคารประมาณ 40 หลัง มีสวนที่สวยงาม
เมืองแห่งนี้ได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1992
4. พระราชวังเชินบรุนน์ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย
ภาพจาก Jesse33 / shutterstock.com
พระราช
วังเชินบรุนน์มีสถาปัตยกรรมที่งดงาม เป็นปราสาทที่ยิ่งใหญ่ หรูหรา โออ่า
ในสไตล์บารอก มีความสวยงามจับตาด้วยงานศิลปะชั้นเยี่ยม
มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อราชวงศ์ฮับส์บูร์ก จักรพรรดิฟรันซ์ โยเซฟที่ 1
แห่งออสเตรีย เป็นผู้ที่มีบทบาทอย่างยิ่งที่ทำให้เกิดปราสาทแห่งนี้
โดยพระองค์ต้องการให้พระราชวังแห่งนี้สวยงามอลังการเทียบเท่ากับพระราชวัง
แวร์ซายของประเทศฝรั่งเศส ตัวอาคารออกแบบโดย Johann Bernhard Fischer von
Erlach และ Nicolaus Pacassi รอบ ๆ
ปราสาทตกแต่งอย่างงดงามด้วยสวนดอกไม้นานาชนิด ๆ หลากสีสัน ซึ่งออกแบบโดย
Archduke Johann
ความสวยงามและทรงคุณค่าของปราสาทแห่งนี้จึงได้รับการจดทะเบียนให้เป็นมรดก
โลกทางวัฒนธรรมในปี ค.ศ. 1996
5. นครวัด เมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา
นครวัด
เป็นโบราณสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เป็นปราสาทหินที่มีความยิ่งใหญ่ ดูเคร่งขรึม ทรงพลังอำนาจ
มีพื้นที่ทั้งตัวปราสาทและป่าโดยรอบประมาณ 400 ตารางกิโลเมตร
มีความสำคัญต่อราชวงศ์แห่งกษัตริย์เขมรในช่วงศตวรรษที่ 9 ถึง ศตวรรษที่ 15
ตัวปราสาทมียอดปราสาท 5 ยอด โดยมี 4 ยอดอยู่ที่ทั้ง 4 มุมของปราสาท
และอีกหนึ่งยอดอยู่ที่ใจกลางปราสาท เป็นศิลปะแบบบายน ล้อมรอบไปด้วยคูน้ำ
เปรียบเสมือนที่แห่งนี้คือเขาพระสุเมรุ
ที่ตัวกำแพงชั้นนอกมีงานแกะสลักเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระเจ้าสุริยวร
มันที่ 2 และเรื่องราวในวรรณคดี มีรูปแกะสลักนูนสูงนางอัปสรอีกกว่า 1,635
นาง ได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1992
6. เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี
เวนิสเป็นดินแดนที่ได้ชื่อว่า
โรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตั้งอยู่บริเวณทะเลสาบเวนิเทีย
อันเป็นส่วนหนึ่งของทะเลเอเดรียติก สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 มีเกาะเล็ก
ๆ แยกออกไปมากกว่า 118 เกาะ บ้านเรือนที่สร้างขึ้นมีสีสันฉูดฉาด
ดูโดดเด่นท่ามกลางทะเลสาบอันกว้างใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติที่งดงาม
อีกหนึ่งเสน่ห์แห่งเวนิสก็คือวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น
ที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายไปกับสายน้ำ
มีการใช้เรือกอนโดลาเป็นพาหนะหลักในการสัญจรไปมาภายในเมือง
ในเวลากลางวันเวนิสจะมีชีวิตชีวาสวยงามด้วยสีสันที่สะท้อนออกมาจากบ้านเรือน
ส่วนในยามค่ำคืนเมืองแห่งนี้จะงดงามจับตาด้วยแสงไฟที่สาดส่องออกมาจากบ้าน
เรือน สะท้อนลงไปยังผืนน้ำ เป็นประกายระยิบระยับแข่งกับแสงดาวบนฟากฟ้า
นี่จึงทำให้เวนิสกลายเป็นเมืองมหัศจรรย์ สมควรแก่การอนุรักษ์ให้คงอยู่ไว้
และมันได้รับการจดทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1987
7. เมืองโบราณเพอร์กามอน ประเทศตุรกี
เมืองเพอร์กามอนเป็นมรดกโลก
แห่งใหม่ที่เพิ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 2014
เป็นเมืองโบราณที่มีกลิ่นอายของความเป็นกรีก
รุ่งเรืองที่สุดในช่วงยุคเฮลเลนลิสติก (Hellenistic)
มีพื้นที่ด้านบนสร้างขึ้นมาอย่างโออ่า สง่างาม เรียกว่า อะโครโปลิส
ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีทั้งวัด โรงละคร แท่นบูชา ห้องสมุด ฯลฯ
ซึ่งสร้างขึ้นบนพื้นที่ลาดเอียง ล้อมรอบด้วยกำแพงเมืองอันสวยงาม
โดยเฉพาะโรงละครเพอร์กามอน ที่สร้างขึ้นไปตามความลาดชันของภูเขา
ถือได้ว่าเป็นโรงละครโบราณที่ชันที่สุดในโลก
ลักษณะสถาปัตยกรรมทั้งหมดจะเป็นแบบกรีกโบราณ
คือมีเสาหินตั้งอย่างโดดเด่นและเป็นระเบียบเรียงรายเพื่อเป็นฐานของวิหาร
แห่งนี้
8. ปราสาท Carolingian Westwork and Civitas Corvey ประเทศเยอรมนี
อาคารรูปทรงสมัยยุคกลาง
ที่รวบรวมทั้งศิลปะ วัฒนธรรม สถาปัตยกรรม
และประวัติศาสตร์ที่มีเอกลักษณ์เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว สร้างขึ้นในปี
ค.ศ. 822-885 มีอายุราว ๆ 1,200 ปี
มีความสำคัญอย่างมากต่อการเป็นโรงเรียนและห้องสมุด ตั้งอยู่ในคุ้งแม่น้ำ
Weser และในช่วงศตวรรษที่ 9-10
พระอารามเบเนติกจึงได้พัฒนาเป็นศูนย์กลางแห่งวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ
สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่เผยแพร่ศาสนาคริสต์ในยุโรป
อาคารได้ถูกทำลายลงระหว่างสงครามสงคราม 30 ปี (ค.ศ. 1618-1648)
และมีการบูรณะใหม่ในศิลปะแบบบารอก ภายในมีห้องโถงกลางด้านบนเป็นแกลเลอรี่
มีห้องนั่งเล่นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 18-19
มีห้องสมุดที่รวบรวมหนังสือไว้มากกว่า 75,000 คอลเลคชั่น
ได้รับการจดทะเบียนให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 2014
9. หน้าผา Stevns Klint ประเทศเดนมาร์ก
หน้าผาแห่งนี้ไม่ได้เป็น
เพียงหน้าผาธรรมดาอย่างที่เราเห็นกัน แต่ Stevns Klint
เกิดจากการพุ่งชนของอุกกาบาต Chixulub ในยุคไดโนเสาร์ เมื่อประมาณ 67
ล้านปีที่แล้ว ตั้งอยู่ที่เกาะ Zealand ประเทศเดนมาร์ก
เป็นหน้าผาชอล์กสีขาว
ที่แห่งนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการศึกษาเกี่ยวกับธรณีวิทยา
หน้าผาสีขาวแห่งนี้มีความยาวประมาณ 14.5 กิโลเมตร
เป็นแนวยาวไปตามริมฝั่งทะเล สูงประมาณ 40 เมตร
ด้านบนปกคลุมด้วยต้นไม้ร่มรื่น ได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.
2014
10. กลุ่มหินสโตนเฮนจ์ (Stonehenge) และเขตหมู่บ้าน Avebury สหราชอาณาจักร
กลุ่มหินสโตนเฮนจ์มีลักษณะ
เป็นแท่งหินตั้งเรียงรายกันเป็นรูปวงกลม 3 วง
อยู่ในบริเวณที่ราบซัลลิสเบอร์รี (Salisbury Plain)
หินบางแท่งถูกวางเป็นแนวยาวซ้อนขึ้นไปบนหินแท่งใหญ่
ซึ่งเมื่อดูจากอายุของก้อนหินแล้ว สันนิษฐานว่าพวกมันถูกสร้างมา เมื่อราว
3,000 ปีก่อนคริสตศักราช
มีความเชื่อกันว่ามีความเกี่ยวข้องทางด้านดาราศาสตร์
มันเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มากที่ในช่วงยุคนั้นมนุษย์จะสามารถนำหินที่มี
น้ำหนักมากถึง 30
ตันมาเรียงซ้อนกันได้โดยใช้เพียงเครื่องมือหรือเครื่องทุ่นแรงพื้นฐานเท่า
นั้น มันจึงได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1986
11. บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ Rani-ki-Vav รัฐคุชราต ประเทศอินเดีย
บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1022-1063 โดยพระราชินี Udayamati
เพื่อรำลึกถึงพระสวามีของพระองค์ คือ กษัตริย์พิมเทพที่ 1 (Bhimdev I)
ถูกค้นพบเมื่อปี ค.ศ. 1950 ลักษณะของบ่อน้ำแห่งนี้เป็นการขุดลึกลงไปใต้ดิน
มีความสวยงามของศิลปะและสถาปัตยกรรม แสดงให้เห็นถึงความงดงามตามสไตล์
Maru-Gurjara แบ่งเป็นทั้งหมด 7 ชั้น พร้อมกับประติมากรรมชั้นสูงอีกกว่า
500 ชิ้น ระดับที่ 4 คือระดับที่มีความลึกที่สุดและนำไปสู่บ่อน้ำ
มีความลึกประมาณ 30 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางรอบบ่อประมาณ 10 เมตร
ได้รับการจดทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 2014
12. เส้นทางสายไหม ฉางอาน-เทียนซาน (จีน, คาซัคสถาน, คีร์กีซสถาน)
มีระยะทางประมาณ 5,000 กิโลเมตร
เชื่อมโยงระหว่างเมืองฉางอาน ซึ่งเป็นเมืองหลวงในสมัยราชวงศ์ฮั่นและถัง
ไปยังโลกตะวันตก โดยเริ่มสร้างเส้นทางนี้ในศตวรรษที่ 2
ก่อนคริสตกาลจนถึงศตวรรษที่ 1 รุ่งเรืองที่สุดในช่วงปี ค.ศ. 1877
เส้นทางสายนี้เกิดขึ้นเพื่อการเดินทางค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้า
รวมไปถึงศิลปวัฒนธรรม ศาสนา ความรู้ วิทยาการด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
และอารยธรรมต่าง ๆ ของจีนให้แพร่หลายไปสู่ตะวันตก
ทำให้จีนในช่วงนั้นมีความมั่งคั่งทั้งทางด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรม
เส้นทางสายไหมจึงมีความสำคัญอย่างมากในการนำพาอารยธรรมจีนให้หลุดออกจากกรอบ
ของตัวเอง และนำพาอารยธรรมของชาติทางตะวันตกมาสู่จีนได้อย่างลงตัว
ได้รับการบันทึกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี 2014
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
unesco.org, stonehengeandaveburywhs.org, germany.travel, aboutvienna.org, krumlov.com, france.fr