เที่ยวใกล้ตัว กับวัดหลังเหรียญในสกุลเงินของไทย
ท่องเที่ยวไทยกับสิ่งใกล้ตัว...เที่ยวตามภาพวัดไทยหลังเหรียญกษาปณ์สกุลเงินของไทย กับสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในประเทศไทย มีที่ไหนบ้างตามไปดู
เอ...เพื่อน ๆ เคยสังเกต "เหรียญกษาปณ์"
ต่าง ๆ ที่ใช้ในปัจจุบันกันหรือไม่ เราเชื่อว่าบางคนอาจจะไม่เคย
และหลายคนเคยสังเกตแล้วปล่อยผ่านไป
จึงทำให้ไม่เคยรู้ว่าข้างหลังเหรียญกษาปณ์ ตั้งแต่เหรียญ 25 สตางค์, 50
สตางค์, 1 บาท, 2 บาท, 5 บาท และเหรียญ 10 บาท มีภาพสถานที่สำคัญปรากฏอยู่
โดยเหรียญแต่ละชนิดราคาจะมีวัดสำคัญ ๆ แตกต่างกันไป
แหม...พูดมาถึงตอนนี้หลายคนคงกำลังควานหาเหรียญในกระเป๋าขึ้นมาดูล่ะสิ
ว่าด้านหลังแต่ละเหรียญนั้นคือสถานที่ไหน ^^
วันนี้ได้รวบรวมเอาสถานที่สำคัญต่าง ๆ มาไว้ถึงที่แล้ว
ส่วนจะมีที่ไหนบ้างนั้นตามเราไปดูกันเลย
1. พระบรมธาตุเจดีย์ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร (เหรียญ 25 สตางค์)
พระบรมธาตุเจดีย์ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร คือภาพนูนต่ำที่พิมพ์อยู่บริเวณหลังเหรียญ 25 สตางค์ เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชั้นวรมหาวิหาร เดิมชื่อ วัดพระบรมธาตุ
ปัจจุบันกรมศิลปากรได้ประกาศจดทะเบียนวัดพระมหาธาตุเป็นโบราณสถาน
นับเป็นปูชนียสถานที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของภาคใต้
รวมทั้งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนครศรีธรรมราชที่รู้จักกันดี
สำหรับ "พระบรมธาตุเจดีย์" มีส่วนยอดเจดีย์เป็นทองคำ
เป็นภาพสะท้อนแห่งความศรัทธาของชาวพุทธที่มีต่อการสร้างพระบรมธาตุ
เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ (พระทันตธาตุหรือพระเขี้ยวแก้วเบื้องซ้าย)
ตามตำนานพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช กล่าวว่า เจ้าชายธนกุมารและพระนางเหมชาลา
เป็นผู้นำเสด็จพระบรมธาตุมา ประดิษฐาน ณ หาดทรายแก้ว
และสร้างเจดีย์องค์เล็ก ๆ เป็นที่หมายไว้ ต่อมาในปีมหาศักราช 1098 (พ.ศ.
1719) พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช
ทรงสร้างเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นพร้อมการก่อสร้างเจดีย์ขึ้นใหม่
พระบรมธาตุเจดีย์มีลักษณะรูปแบบศิลปกรรมเป็นเจดีย์ทรงลังกาสูง 55.78 เมตร
(กรมศิลปากรวัดเมื่อการบูรณะปลียอด ทองคำเมื่อ พ.ศ. 2538
จากฐานบัวคว่ำบัวหงายถึงปลียอด 6.80 เมตร ใช้ทองคำเนื้อสิบหุ้มโดยรอบ
ส่วนฐานขององค์พระบรมธาตุเจดีย์ (วิหารทับเกษตร) มีซุ้มถึง 22 ซุ้ม
แต่ละซุ้มมีหัวช้างยื่นออกมารองรับพระบรมธาตุเจดีย์
ประหนึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งการค้ำจุนพระพุทธศาสนาให้มั่นคง
นอกจากนี้ยังมีปริศนาธรรมให้ค้นหาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกมากมาย
ทั้งนี้ผู้มาเยือนที่นี่นิยมนำผ้าขึ้นห่มองค์พระบรมธาตุเจดีย์เพื่อความเป็น
สิริมงคลแก่ชีวิต
เวลาเปิด-ปิด : เปิดบริการทุกวัน เวลา 08.00-16.30 น.
ที่อยู่ : ถนนราชดำเนิน ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช
โทรศัพท์ : 0 7532 4479
2. พระธาตุดอยสุเทพ (เหรียญ 50 สตางค์)
พระธาตุดอยสุเทพ ตั้งอยู่ภายในวัดพระธาตุดอยสุเทพ ราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวง ชั้นโท ชนิดราชวรวิหาร และเป็นภาพนูนต่ำที่พิมพ์อยู่บริเวณหลังเหรียญ 50 สตางค์ สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้ากือนา เป็นพระอารามหลวง
1 ใน 4 ของจังหวัดเชียงใหม่อีกด้วย (พระอารามหลวง หมายถึง
วัดที่อยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเจ้าอยู่หัว)
ชาวเชียงใหม่เคารพนับถือพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหารมาก
เสมือนหนึ่งเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่มาแต่โบราณกาล
พระธาตุดอยสุเทพ สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้ากือนา กษัตริย์องค์ที่ 6 แห่งอาณาจักรล้านนา ราชวงศ์มังราย
ซึ่งพระองค์ทรงได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุองค์ใหญ่
ที่ได้ทรงเก็บไว้สักการบูชาส่วนพระองค์ถึง 13 ปี นำมาบรรจุไว้ที่นี่
ด้วยการทรงอธิษฐานเสี่ยงช้างมงคลเพื่อเสี่ยงทายสถานที่ประดิษฐาน
พอช้างมงคลเดินมาถึงยอดดอยสุเทพมันก็ร้องสามครั้ง
พร้อมกับทำทักษิณาวัตรสามรอบแล้วล้มลง พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้ขุดดินลึก 8
ศอก กว้าง 6 วา 3 ศอก หาแท่นหินใหญ่ 6 แท่น มาวางเป็นรูปหีบใหญ่ในหลุม
แล้วอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุลงประดิษฐานไว้
จากนั้นถมด้วยหินแล้วก่อพระเจดีย์สูง 5 วา ครอบบนนั้น
ด้วยเหตุนี้จึงห้ามพุทธศาสนิกชนที่ไปนมัสการสวมรองเท้าในบริเวณพระธาตุ
และมิให้สตรีเข้าไปบริเวณนั้น
ใน
ปี พ.ศ. 2081
สมัยพระเมืองเกษเกล้า กษัตริย์องค์ที่ 12 ได้โปรดฯ
ให้เสริมพระเจดีย์ให้สูงกว่าเดิม เป็นกว้าง 6 วา สูง 11 ศอก
พร้อมทั้งให้ช่างนำทองคำทำเป็นรูปดอกบัวทองใส่บนยอดเจดีย์
และต่อมาเจ้าท้าวทรายคำ
ราชโอรสได้ทรงให้ตีทองคำเป็นแผ่นติดที่พระบรมธาตุในปี 2100
พระมหาญาณมงคลโพธิ์ วัดอโศการาม เมืองลำพูนได้สร้างบันไดนาคหลวงทั้ง 2 ข้าง
เพื่อให้ประชาชนขึ้นไปสักการะได้สะดวกขึ้น และกระทั่งถึงสมัยครูบาศรีวิชัย
ท่านได้สร้างถนนขึ้นไป โดยถนนที่สร้างนี้มีความยาวถึง 11.53
กิโลเมตร เดินทางตามถนนห้วยแก้ว ผ่านอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย
ไปตามทางคดเคี้ยวขึ้นเขา
ระหว่างทางจะมองเห็นตัวเมืองเชียงใหม่อยู่เบื้องล่าง
ระยะทางจากเชิงดอยถึงวัดประมาณ 11 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง
วัดพระธาตุดอยสุเทพนี้เป็นปูชนียสถานคู่เมืองเชียงใหม่นับตั้งแต่โบราณกาล
นักท่องเที่ยวซึ่งเดินทางมาที่จังหวัดนี้จะต้องขึ้นไปนมัสการพระบรมธาตุกัน
ทุกคน ถ้าหากใครไม่ได้ขึ้นไปนมัสการแล้วถือเสมือนว่ายังมาไม่ถึงเชียงใหม่
เวลาเปิด-ปิด : เปิดบริการทุกวัน เวลา 05.30-19.30 น.
ที่อยู่ : ถนนศรีวิชัย ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
โทรศัพท์ : 0 5329 5000
3. พระศรีรัตนเจดีย์ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (เหรียญ 1 บาท)
พระศรีรัตนเจดีย์ ภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า "วัดพระแก้ว" เป็นภาพนูนต่ำที่พิมพ์อยู่บริเวณหลังเหรียญ 1 บาท
เป็นพระอารามหลวงชั้นพิเศษ เป็นเจดีย์ทรงลังกา
ตั้งอยู่ด้านหลังขององค์พระพุทธปรางค์ปราสาท
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) โปรดเกล้าฯ
ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2398
เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่ทรงได้มาจากลังกา
โดยสร้างตามรูปแบบของพระมหาเจดีย์ในวัดพระศรีสรรเพชญ์ พระนครศรีอยุธยา
เวลาเปิด-ปิด : เปิด
บริการทุกวัน เวลา 08.30-15.30 น. ปิดการจำหน่ายตั๋วเวลา 15.30 น.
(ชาวไทยไม่เสียค่าเข้าชม ส่วนชาวต่างชาติเสียค่าเข้าชม 200 บาท/คน)
ที่อยู่ : เขตพระราชฐานชั้นนอก ทางทิศตะวันออก ติดท้องสนามหลวง แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ
เว็บไซต์ : palaces.thai.net
4. พระบรมบรรพต วัดสระเกศราชมหาวิหาร (เหรียญ 2 บาท)
พระบรมบรรพต ตั้งอยู่ภายในวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ซึ่งปรากฏเป็นภาพนูนต่ำที่เหรียญ 2 บาท โดย "บรมบรรพต" นามพระราชทานที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เปลี่ยนชื่อเดิมคือ "พระเจดีย์ภูเขาทอง" แต่ชาวไทยนิยมเรียกง่าย ๆ กันว่า "เจดีย์ภูเขาทอง"
พระเจดีย์องค์นี้นับเป็นพุทธสถานที่สำคัญของวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร
สร้างขึ้นตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่
3) ในวาระที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดสระเกศครั้งใหญ่นั้น
ทรงมีพระราชประสงค์จะสร้างพระเจดีย์เหมือนอย่างวัดภูเขาทองที่กรุงศรีอยุธยา
มีคลองมหานาคล้อมรอบวัด
และเป็นคลองที่ชาวพระนครจัดเป็นที่ชุมนุมรื่นเริงลอยเรือเล่นสักวากันครั้ง
สมัยรัชกาลที่ 1 เหมือนอย่างการละเล่นของชาวกรุงศรีอยุธยา จึงโปรดเกล้าฯ
ให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ทัด บุนนาค) เป็นแม่กองในการสร้าง
แรกสร้างพระเจดีย์ภูเขาทองนั้นรูปแบบเป็นปรางค์องค์ใหญ่ฐานสี่เหลี่ยมแบบย่อไม้สิบสอง อันเป็นพุทธศิลป์
สถาปัตยกรรมที่นิยมสร้างในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยาและต้นกรุงรัตนโกสินทร์
ฐานกว้าง 50 วา หรือ 100 เมตร สูง 9 วา หรือ 18 เมตร โดยขุดรากลึกลงไปในดิน
(ริมคลองเป็นดินโคลน) วางท่อนซุงเรียงเป็นแพอัดแน่น
อันเป็นวิธีการสร้างฐานรากเหมือนตอกเสาเข็มแล้วถมดินและหินศิลาแลง
จากนั้นก่ออิฐถือปูนครอบไว้ชั้นนอก
ปรากฏว่าส่วนฐานล่างองค์พระเจดีย์รับน้ำหนักดิน หิน และศิลาแลงที่ถมไม่ได้
ส่วนบนยอดเจดีย์จึงทรุดลงจนไม่สามารถแก้ไขได้และมิได้สร้างต่อให้แล้วเสร็จ
ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ
ให้พระยาศรีพิพัฒน์ (แพ บุนนาค)
เป็นแม่กองซ่อมสร้างพระเจดีย์ภูเขาทองที่ทิ้งค้างไว้ในสมัยรัชกาลที่ 3 ต่อ
โดยซ่อมแปลงแก้ไขพระปรางค์องค์ใหญ่ทำเป็นภูเขาทอง
ทำบันไดเวียนสองข้างจนถึงยอดมีส่วนหนึ่งทำบันไดทอดตรงลงมา ครั้นถึงเดือน 6
ปีฉลู พ.ศ. 2408 รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้ก่อพระเจดีย์ทรงระฆังไว้บนยอดเขาหนึ่งองค์ ได้เสด็จฯ วางศิลาฤกษ์และโปรดเกล้าฯ ให้มี "ละครใน" (ละครที่ผู้หญิงแสดงล้วน เป็นมหรสพในราชสำนัก) เป็นมหรสพฉลอง เมื่อแล้วเสร็จพระราชทานนามใหม่ว่า "บรมบรรพต"
การ
บูรณะซ่อมพระเจดีย์ภูเขาทองครั้งที่สองในสมัยรัชกาลที่ 5
อันเป็นการซ่อมเสริมในส่วนที่ยังไม่เรียบร้อยต่อจากสมัยรัชกาลที่ 4
เมื่อแล้วเสร็จในวันศุกร์ เดือนยี่ ขึ้น 1 ค่ำ ปีฉลู
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เสด็จพระราชดำเนินประกอบพระราชพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุที่บูชาไว้ในพระ
บรมมหาราชวัง ประดิษฐานในพระเจดีย์ภูเขาทองเป็นครั้งแรก ปี พ.ศ. 2440
โปรดเกล้าฯ กำหนดให้มีงานนักขัตฤกษ์ฉลองพระเจดีย์ภูเขา
ทองและพระอารามหลวงวัดสระเกศ ระหว่างขึ้น 8-15 ค่ำ เดือน 12 เป็นประจำทุกปี
ต่อมาวันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2442 รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ
ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธกรมขุนนครราชสีมา
เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ทรงประกอบพิธีอินเดีย และนำมาทูลเกล้าฯ
ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
แล้วพระองค์โปรดให้อัญเชิญมาประดิษฐานในพระเจดีย์ภูเขาทองเป็นครั้งที่สอง
การพระราชพิธีนั้นโปรดเกล้าฯ ให้มีพิธีฉลองทั้งกลางวันกลางคืน 3 วัน
พระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์และถวายภัตตา หารแด่พระสงฆ์จำนวน 100 รูป
ตั้งบายศรีแก้ว เงิน ทอง และเวียนเทียนสมโภช กลางคืนจัดมหรสพสมโภช มีโขน
หุ่น งิ้ว หนัง และจุดดอกไม้เพลิงตามธรรมเนียมโบราณ
จากการพระราชพิธีฉลองใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 5 แล้วนานถึง 50 ปีต่อมา
สมัยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราช ญาโณทยมหาเถร
ครั้งดำรงสมณศักดิ์เป็นพระธรรมวโรดม เจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ
ทรงมีบัญชาให้กรมชลประทานเป็นแม่กองทำการซ่อมครั้งใหญ่ระหว่างปี พ.ศ.
2493-2497 โดยให้หยุดงานนักขัตฤกษ์ประจำปีไว้ชั่วคราว การซ่อมใหญ่ ได้แก่
องค์พระเจดีย์ภูเขาทองที่ทรุดเอียงซ่อมเสริมเหล็กคานคอนกรีต
ซ่อมกำแพงรอบนอกและบันได ตัดโค่นต้นไม้ที่รกทึบให้โล่งเตียน
เมื่อแล้วเสร็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน
เสด็จพระราชดำเนินยังมณฑลพิธี ณ บรมบรรพต
ทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในพระเจดีย์ยอดพระมณฑป ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 22
มกราคม พ.ศ. 2497
และเปิดให้มีงานเทศกาลนมัสการตามประเพณีโบราณฉลองกันตลอดมา
ทั้งนี้บรมบรรพตปัจจุบันมีขนาดสูงจากฐานถึงยอด 63.6 เมตร
ฐานโดยรอบมีเส้นผ่าศูนย์กลางกว้าง 150 เมตร ฐานโดยรอบยาว 330 เมตร
มีบันไดทอดขึ้นเป็นบันไดเวียน 344 ขั้น
เวลาเปิด-ปิด : เปิดบริการทุกวัน เวลา 08.00-17.00 น. (ชาวไทยไม่เสียค่าบริการ ส่วนชาวต่างชาติเสียค่าเข้า 10 บาท)
ที่อยู่ : 344 ถนนจักรพรรดิพงษ์ แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ
โทรศัพท์ : 0 2621 2280
เว็บไซต์ : watsraket.com
5. พระอุโบสถ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ราชวรวิหาร (เหรียญ 5 บาท)
วัดเบญจมบพิตร หรือชื่อทางการคือ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร
ซึ่งพระอุโบสถของวัดได้ปรากฏเป็นภาพพิมพ์นูนต่ำที่อยู่ด้านหลังของเหรียญ 5
บาท เป็นวัดที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่วโลกว่า "The Marble Temple" เพราะพระอุโบสถ พระระเบียง ประดับด้วยหินอ่อนที่ดีที่สุดจากประเทศอิตาลี
ประกอบกับเป็นวัดที่มีความวิจิตรงดงามด้วยศิลปะสถาปัตยกรรมไทยโบราณ
จึงมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศสนใจเข้าชมจำนวนมาก
พระอุโบสถวัดเบญจมบพิตร สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2441
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) โปรดเกล้าฯ
ให้ซื้อที่ดินระหว่างคลองผดุงกรุงเกษมจนถึงคลองสามเสน
เพื่อสร้างที่ประทับพักผ่อนพระอิริยาบถส่วนพระองค์ โดยพระราชทานนามว่า "สวนดุสิต" (พระราชวังดุสิตในปัจจุบัน) ซึ่งบริเวณที่ดินที่ทรงซื้อนั้นมีวัดโบราณ 2
แห่ง คือ วัดดุสิต ซึ่งอยู่ในสภาพทรุดโทรมโดยถูกใช้เป็นที่สร้างพลับพลา
และวัดร้างอีกแห่งซึ่งจำเป็นต้องใช้ที่ดินของวัด สำหรับตัดเป็นถนน
พระองค์จึงทรงทำผาติกรรม คือการสร้างวัดแห่งใหม่
เพื่อเป็นการทดแทนตามประเพณี โดยทรงเลือกวัดเบญจมบพิตรเป็นวัดที่ทรงสถาปนา
ตามพระราชดำริว่า การสร้างวัดใหม่หลายวัดยากต่อการบำรุงรักษา
ถ้ารวมเงินสร้างวัดเดียวให้เป็นวัดใหญ่ และทำโดยฝีมือประณีตดีกว่า
จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
เป็นผู้ทรงออกแบบก่อสร้างพระอุโบสถและถาวรวัตถุอื่น ๆ และมีพระยาราชสงคราม
เป็นนายช่างก่อสร้าง
เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.
2441 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมายังวัด
ในการนี้มีพระบรมราชโองการประกาศพระบรมราชูทิศถวายที่ดินให้เป็นเขตวิสุงคาม
สีมา (เขตที่พระราชทานแก่สงฆ์สำหรับสร้างพระอุโบสถ) ของวัด
พร้อมทั้งพระราชทานนามวัดใหม่ว่า "วัดเบญจมบพิตร" อันหมายถึงวัดของพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 5
และเพื่อแสดงลำดับรัชกาลในมหาจักรีบรมราชวงศ์ต่อมา
พระองค์ได้ถวายที่ดินซึ่งพระองค์ขนานนามว่า "ดุสิตวนาราม" ให้เป็นที่วิสุงคามสีมาเพิ่มเติมแก่วัดเบญจมบพิตร และโปรดให้เรียกนามรวมกันว่า "วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม" เมื่อมีการจัดระเบียบพระอารามหลวง
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6)
ในปี พ.ศ. 2458 วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
ถูกจัดให้เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ดังนั้นชื่อวัดจึงมีสร้อยนามต่อท้ายด้วย "ราชวรวิหาร" กลายเป็นชื่อ "วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ราชวรวิหาร" ในปัจจุบัน
เวลาเปิด-ปิด : เปิดบริการทุกวัน เวลา 06.00-17.00 น.
ที่อยู่ : 69 ถนนนครปฐม แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพฯ
โทรศัพท์ : 0 2282 2667, 0 2281 7825
เว็บไซต์ : watbencha.net
6. พระปรางค์ วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร (เหรียญ 10 บาท )
พระปรางค์ วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร หรือที่นิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า วัดอรุณฯ เป็นวัดโบราณ สร้างในสมัยอยุธยา รวมทั้งเป็นพระอารามหลวงชั้นเอกพิเศษ
ชนิดราชวรมหาวิหาร เป็นวัดประจำรัชกาลที่ 2
ซึ่งเป็นภาพพิมพ์นูนต่ำที่ปรากฏอยู่ด้านหลังเหรียญ 10 บาท
ที่ใช้กันในปัจจุบัน
พระปรางค์
เป็นศิลปกรรมที่สง่างามและโดดเด่นที่สุดในวัดอรุณฯ
ตั้งอยู่หน้าวัดทางทิศใต้
พระปรางค์องค์นี้เดิมทีสร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นปูชนียสถานที่สร้างขึ้นพร้อมกับโบสถ์และวิหารน้อยหน้าพระปรางค์
โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2)
ทรงมีพระราชศรัทธาจะเสริมสร้างให้สูงใหญ่เป็นมหาธาตุประจำพระนคร
แต่ทรงกระทำได้เพียงโปรดเกล้าฯ ให้กะที่ขุดรากเตรียมไว้เท่านั้น
เนื่องจากสวรรคตเสียก่อน
เมื่อถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3)
โปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์วัดนี้เป็นการใหญ่อีกครั้ง
และทรงมีพระราชดำริที่จะสนองพระราชประสงค์ของสมเด็จพระบรมชนกนาถ
จึงโปรดเกล้าฯ ให้เสริมสร้างพระปรางค์องค์ใหญ่สูง ถึง 1 เส้น 13 วา 1 ศอก 1
คืบ กับ 1 นิ้ว (สูง 67 เมตร) ฐานพระปรางค์กลมโดยรอบ 5 เส้น 17 วา (234
เมตร) โดยรัชกาลที่ 3 เสด็จพระราชดำเนินมาก่อพระฤกษ์ เมื่อวันศุกร์ เดือน 9
แรม 12 ค่ำ พ.ศ. 2385 สำเร็จเมื่อปี พ.ศ. 2394 ใช้เวลาสร้างถึง 9 ปี
และโปรดเกล้าฯ ให้หล่อยอดนพศูลพระปรางค์ ปี พ.ศ. 2389
เมื่อยกยอดพระปรางค์ซึ่งเดิมทำเป็นยอดนพศูลตามพระปรางค์แบบโบราณ
แต่ครั้นใกล้วันฤกษ์กลับโปรดให้ยืมมงกุฎที่หล่อสำหรับพระพุทธรูปทรงเครื่อง
ที่จะเป็นพระประธานในวัดนางนองมาติดต่อบนยอดนภศูล
เมื่อการก่อสร้างสำเร็จแล้วยังไม่ทันมีงานฉลองก็พอดีสิ้นรัชกาลที่ 3 ในปี
พ.ศ. 2394
เวลาเปิด-ปิด : เปิดบริการทุกวัน เวลา 07.30-17.30 น.
ที่อยู่ : 158 ถนนวังเดิม แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ
โทรศัพท์ : 0 2891 2185
เว็บไซต์ : watarun.org
เป็นอย่างไรบ้างคะ
กับสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ตัวที่เราเพียงแค่พลิกเหรียญกษาปณ์มาดู
เราก็ได้ไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นศาสนสถานที่สำคัญถึง 6
แห่งกันแล้ว เรียกได้ว่าเป็นความรู้ใกล้ตัวที่เราไม่ควรพลาดเลย
หมายเหตุ : อัพเดทข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2559
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ททท, thaifolk.com, watarun.org, doisuthep.com, watsraket.com, bangkokgoguide.com และ watbencha.net