"โครงการหลวง"...พระวิสัยทัศน์อันกว้างไกลแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
"เรื่องที่จะช่วยชาวเขา และโครงการของชาวเขานั้น
มีประโยชน์โดยตรงกับชาวเขาเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
สามารถเพาะปลูกสิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นรายได้ให้กับเขาเอง
จุดประสงค์อย่างหนึ่งคือมนุษยธรรม
หมายถึงให้ผู้ที่อยู่ในถิ่นทุรกันดารสามารถมีความรู้และพยุงตัว
มีความเจริญได้"
พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 10 มกราคม 2512
นับจากพระราชดำรัสของพ่อหลวงของชาวไทยครั้งนั้น เวลาล่วงเลยมากว่า
40 ปีแล้วในการก่อตั้งมูลนิธิโครงการหลวง
มูลนิธิที่เกิดจากการเสด็จประพาสต้นในพื้นที่ป่าเขาทางภาคเหนือที่มีความทุรกันดาร
ซึ่งในขณะนั้นชาวเขาส่วนใหญ่ยังนิยมปลูกฝิ่นและทำไร่เลื่อนลอย
ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเองและนอกจากนี้ยังไม่มีแม้กระทั่งที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง
เวลาในแต่ละวันผ่านไปกับการเฝ้าไร่ฝิ่นซึ่งสร้างรายได้ให้แก่พวกเขา
แต่ในขณะเดียวกันพิษร้ายของฝิ่นก็ได้สร้างบาดแผลให้แก่คนในชาติเช่นกัน
เสด็จประพาสต้น ก่อกำเนิดโครงการหลวง
การริเริ่มโครงการหลวงหรือชื่อเดิมก็คือ
"โครงการหลวงพระบรมราชานุเคราะห์ชาวเขา" โดยมีหม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี
ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการโครงการฯ
ในระยะแรกเพียงเพื่อจะช่วยให้ชาวเขาได้เลิกย้ายที่ทำกินและหยุดทำลายป่าเพื่อปลูกฝิ่น
หวังผลเพื่อให้ชาวเขาเปลี่ยนบทบาทจากผู้ทำลายเปลี่ยนเป็นหันมาช่วยกันรักษาป่าและต้นน้ำลำธารในผืนป่าทางภาคเหนือของประเทศไทยไว้
โดยให้พวกเขาได้ทดลองปลูกพืชเศรษฐกิจหรือพืชเมืองหนาวต่างๆที่จะสามารถขายผลผลิตให้กับผู้บริโภคได้
นอกจากนี้พระองค์ท่านยังทรงมีพระราชดำรัสให้ก่อตั้งโครงการหลวงส่วนพระองค์ขึ้นเมื่อ
พ.ศ.2512 โดยมีหม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี
เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการในตำแหน่งผู้อำนวยการ
มีชื่อเรียกในระยะแรกว่า ?โครงการหลวงพระบรมราชานุเคราะห์ชาวเขา? และต่อมา
ก็ได้ทรงพระราชทานนามว่า ?สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง?
?สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง? เป็นโครงการหลวงแห่งแรกของเมืองไทย
ซึ่งเป็นสถานที่ทดลอง ค้นคว้า และวิจัยพืชผัก ผลไม้ และไม้ดอกเมืองหนาว
เพื่อเป็นตัวอย่างให้แก่ชาวไทยภูเขาในการนำพืชเหล่านี้มาเพาะปลูกเป็นอาชีพแทนการปลูกฝิ่น
ที่จะทำให้ชาวไทยภูเขามีรายได้มากขึ้นกว่าแต่ก่อน ตามแนวพระราชดำริที่ว่า
?ให้เขาช่วยตัวเอง?
โครงการหลวงช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับชาวเขา ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น |
การดำเนินงานของโครงการหลวงอ่างขางหรือสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง แบ่งออกเป็น 3
ลักษณะ คือ 1.งานศึกษาวิจัยไม้ผลเขตหนาว และการขยายพันธุ์พืชต่างๆ
2.งานเผยแพร่เทคโนโลยีเกษตรบนพื้นที่สูง
เป็นแหล่งวิชาการและเป็นศูนย์การเรียนรู้ สถานที่ฝึกอบรมของเจ้าหน้าที่
เกษตรกร และหน่วยงานต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ
3.งานพัฒนาและส่งเสริมอาชีพแก่เกษตรกรบริเวณรอบสถานี
ปัจจุบันโครงการหลวงอ่างขางนอกจากจะมีการทดลองและส่งเสริมการปลูกพืชผัก
ผลไม้ และไม้ดอกเมืองหนาวอันหลากหลายอยู่อย่างต่อเนื่องแล้ว
ยังถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวอันสวยงามอีกแห่งหนึ่งของเมืองไทย
ซึ่งมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเที่ยวชมกันอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาว
ขณะที่การพัฒนาของานด้านโครงการหลวงนั้น ในปี 2535
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงมีพระราชดำริให้เปลี่ยนแปลงสถานภาพของโครงการหลวง
โดยโปรดเกล้าฯให้จดทะเบียนเป็นมูลนิธิ เพื่อจะได้เป็นองค์กรนิติบุคคล
มีกฎหมายรองรับ ภายใต้ชื่อใหม่ว่า
"มูลนิธิโครงการหลวง"และเดินเครื่องวิจัยพร้อมพัฒนาพืชสายพันธุ์ใหม่ๆเต็มสูบ
และในปี พ.ศ.2537 เพื่อให้เกิดความสะดวกในการดำเนินธุรกิจทางพาณิชย์
จึงมีพระบรมราโชวาทให้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
เข้ารับช่วงดำเนินการโครงการหลวงอาหารสำเร็จรูปทั้ง 3 แห่ง ที่ตั้งอยู่ ณ
แหล่งเพาะปลูก โดยจัดตั้งเป็นนิติบุคคลภายใต้ชื่อ
บริษัทดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด
หรือที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากับผลิตภัณฑ์อาหารตราดอยคำ
นับแต่นั้นมา
ดูเหมือนแสงสว่างที่ขอบฟ้าดูจะมีค่าและไม่เลื่อนลอยอีกต่อไป
ชาวเขาเหล่านั้นเดินตามรอยพ่อหลวงและไม่ท้อต่ออุปสรรคที่เกิดขึ้น
และเมื่อผลผลิตที่ปลูกเริ่มทยอยออกสู่ตลาด
รายได้จากน้ำพักน้ำแรงก็เริ่มทยอยเข้าสู่บ้านหลังคามุงจากตามที่ราบและหุบเขาสูงชัน
ทำให้ชีวิตเริ่มสุขสบายและมั่นคงมากขึ้น
จากฝิ่นสู่พืชผักคุณภาพ สร้างเงินสร้างอาชีพใหม่
แปลงพืชผักในโครงการหลวงหนองหอย |
ก๊ะ เตชะเลิศพนา หนึ่งในสตรีชาวเขาเผ่าม้ง
ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่
หนึ่งในพื้นที่โครงการหลวงใต้พระบารมี
เล่าให้ฟังถึงการตัดสินใจเดินเข้ามาตามคำชักชวนให้มาปลูกผักแทนการปลูกฝิ่นว่า
แต่เดิมนั้นครอบครัวมีอาชีพปลูกฝิ่นแต่ภายหลังเกิดเกรงกลัวกฎหมายจึงหันมาปลูกกะหล่ำปลีแทน
แต่ด้วยความรู้น้อยทำให้ไม่รู้วิธีการปลูกและการจำหน่ายทำให้ผลผลิตออกมาเพียงปีละครั้งเท่านั้น
ส่งผลให้ในแต่ละวันแทบไม่พอกิน
พอมูลนิธิโครงการหลวงเข้ามาส่งเสริมและให้ความรู้เรื่องการปลูกผัก
ทำให้ครอบครัวมีรายได้เป็นกอบเป็นกำขึ้น
"ตอนนี้ในพื้นที่ 15 ไร่ เราปลูกผักเมืองหนาว อย่างเช่น ปวยเล้ง
สลัด ผักกาดหางหงส์ ถ้านับรายได้ต่อปีแล้วตกอยู่ที่ประมาณ 450,000 บาท
ก็พอใจนะเพราะชีวิตดีขึ้น
แตกต่างจากเมื่อก่อนหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียวสามารถเลี้ยงลูกๆทั้ง 4
คนได้อย่างดีตามอัตภาพ
มีความสุขความสบายใจเพราะไม่ต้องกังวลว่าพรุ่งนี้จะเอาอะไรกิน"ก๊ะคนเดิมบอก
โรงเรือนปลูกพืชผักในโครงการหลวงหนองหอย |
นอกจากจะปลูกผักได้ราคาดีแล้ว
นางก๊ะยังมีความสามารถในการทำงานประสานกับกลุ่มต่างๆได้ดี
จึงได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานกลุ่มสตรี หมู่บ้านหนองหอยเก่า
และปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาของกลุ่มผู้นำสตรี ในการดำเนินกิจกรรมต่างๆในชุมชน
และยังชักชวนกลุ่มแม่บ้านให้หันมาเห็นความสำคัญของการศึกษาจนเข้ารับการศึกษาในระบบศึกษาผู้ใหญ่
ใช่ว่าจะมีแต่นางก๊ะที่หันมาเป็นสมาชิกของมูลนิธิโครงการหลวง
แต่ในพื้นที่อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่
ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานีวิจัยโครงการหลวงอินทนนท์ กอชิ เพชรไพรพนาวัลย์
ก็เป็นอีกหนึ่งที่หันมาให้ความสนใจและร่วมลงทุนโดยให้โครงการหลวงเช่าที่กว่า
7 ไร่
ปลูกหน่อไม้ฝรั่งและตนเองใช้เวลาในการทำงานเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านหลวง
อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ แทนการทำไร่นาเหมือนแต่ก่อน
"เมื่อก่อนถางที่ตามป่าเขาเพื่อหาที่ทำไร่ทำนาไปเรื่อยๆ
ก็เรียกว่าพอไปได้แต่ก็ไม่ถึงกับดีอะไรมากมาย
นอกจากนี้ก็ยังรับจ้างทั่วไปได้ค่าแรงวันละ 100 บาท
แต่พอโครงการหลวงเข้ามาให้ความรู้เรื่องการเพาะปลูกและการตลาด
เรื่องปุ๋ยอินทรีย์ต่างๆก็ทำให้ได้ผลผลิตดีขึ้น ขายได้ราคาสูงขึ้น
พอตอนหลังได้รับมรดกเป็นที่ดินประมาณ 7
ไร่ก็เลยคิดลงทุนโดยให้โครงการหลวงเช่าที่เพื่อทำการปลูกหน่อไม้ฝรั่ง
เขาให้ไร่ละ 2,000 บาทต่อปี
ก็ถือว่าพอใจนะเพราะเงินเท่านี้ก็ซื้อข้าวสารได้แล้ว ที่เหลือค่อยหาเพิ่ม
ชาวบ้านบางคนนอกจากจะเข้าปลูกพืชผักและไม้เมืองหนาวตามคำแนะนำของโครงการหลวงแล้ว
บางคนพอเก่งๆก็หาช่องทางการขายเอง ปลูกพืชเพิ่มเติมทำให้ได้รายได้มากขึ้น
ก็สบายขึ้น
เรียกว่าพอโครงการหลวงของพ่อหลวงเข้ามาชีวิตก็เปลี่ยนไปมาก"กอชิกล่าวทิ้งท้าย
***************************************
หมายเหตุ : ข้อมูลบางส่วนนำมาจากบทความ ?36 ปีโครงการหลวง ดั่งน้ำทิพย์ชโลมชุ่มยังภูผาสูงชัน?