ชื่อภาพที่น่ารักของ พ่อ 'คู่ดาว' สู่ 'เทพธิดาขมิ้นป่า'
"ฉันเป็นกษัตริย์ก็จริง
แต่ฉันก็ยังมีอาชีพเป็นช่างภาพของหนังสือพิมพ์สแตนดาร์ดได้เงินเดือนละ ๑๐๐
บาท ตั้งหลายปีมาแล้ว
จนบัดนี้ก็ยังไม่เห็นเขาขึ้นเงินเดือนให้สักทีเขาก็คงถวายเดือนละ ๑๐๐
บาทอยู่เรื่อยมา"
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสด้วยพระอารมณ์ขันแก่ผู้ใกล้ชิดผู้หนึ่งถึงการเป็นช่างภาพอาชีพ
พระองค์ทรงศึกษาและเรียนรู้การถ่ายภาพจนมีพระปรีชาสามารถ
ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติจากโรงเรียนในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ทั้งยังทรงเชี่ยวชาญการถ่ายรูปและล้างรูปด้วยพระองค์เอง
ทรงจัดห้องมืดขึ้นที่ชั้นล่างของตึกสถานีวิทยุ
อ.ส.จึงปรากฏภาพถ่ายฝีพระหัตถ์เป็นจำนวนมาก
มองผ่านเลนส์พ่อ
พระปรีชาสามารถด้านการถ่ายภาพของพระองค์เป็นที่เลื่องลือ
เราชาวไทยจึงมักจะเห็น ?ภาพจำ? นั่นคือภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พร้อมอุปกรณ์ประจำพระองค์คือ "กล้องถ่ายรูป" และ "แผนที่"
ในท้องถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศไทย
พระองค์ทรงมีกล้องถ่ายภาพเล็กๆ คู่พระหัตถ์ตั้งแต่พระชันษาเพียง ๘
ปี (ราวปี พ.ศ.๒๔๗๙) โดยสมเด็จพระบรมราชชนนี ได้พระราชทานกล้องถ่ายรูป Coronet Midget สีเขียวปะดำ
ของฝรั่งเศส ราคาเพียง ๒ ฟรังก์สวิส แก่พระองค์
แม้ในระยะแรกจะทรงไม่ประสบความสำเร็จในการถ่ายภาพนัก แต่ก็ไม่ทรงย่อท้อ
ทรงศึกษาและฝึกด้วยพระองค์เองจนเป็นนักถ่ายภาพที่มีพระปรีชาสามารถยิ่ง
ทั้งกล้องถ่ายภาพนิ่ง และกล้องถ่ายภาพยนตร์
พระองค์ท่านเริ่มทรงกล้องถ่ายภาพคู่พระหัตถ์และทรงใช้ฟิล์มตั้งแต่ขนาด
๑๓๕ จนถึงขนาด ๑๒๐
และขนาดพิเศษกล้องถ่ายภาพที่ทรงใช้ในระยะเริ่มแรกเป็นกล้องที่ไม่มีเครื่องวัดแสงในตัวจึงต้องใช้พระราชวิจารณญาณอย่างรอบคอบละเอียดถี่ถ้วนพร้อมทั้งพระปรีชาสามารถส่วนพระองค์
ทุกครั้งที่พระองค์เสด็จฯ ไปในสถานที่ต่างๆ
จะทรงนำภาพถ่ายฝีพระหัตถ์มาใช้ประกอบการทรงงานของพระองค์อยู่เสมอหลังจากนั้นไม่นาน
ทรงใช้กล้องอีกหนึ่งกล้อง ชื่อ Kodak Vest Pocket Montreux ลักษณะคล้ายสี่เหลี่ยม ฝรั่งเรียกว่า Minibox ใช้ฟิล์มถ่ายได้ม้วนละ ๖ ภาพ
?การถ่ายรูปนั้น
ไม่ได้ตั้งใจที่จะถ่ายรูปให้เป็นศิลปะ หรือจะเป็นเทคโนโลยีชั้นสูงอะไร
เป็นเพียงแต่กดชัตเตอร์ไว้สำหรับเก็บให้เป็นที่ระลึก แล้วก็ถ้ารูปนั้นดี
มีคนได้มาเห็นรูปเหล่านั้นและก็พอใจ
ก็ทำให้เป็นการแผ่ความสุขไปให้กับผู้ที่ได้ดู เพราะว่าเขาชอบ
หมายความว่าได้ให้เขามีโอกาส ได้เห็นทัศนียภาพที่เขาอาจไม่ค่อยได้เห็น
หรือในมุมที่เขาไม่เคยเห็น ก็แผ่ความสุขไปให้เขาอีกทีหนึ่ง
ซึ่งเป็นจุดประสงค์ของการถ่ายรูป...?
พระราชดำรัสในโอกาสที่ ประธานคณะกรรมการจัดทำหนังสือภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ เข้าเฝ้าฯ ในปี พ.ศ.๒๕๓๗
ในโอกาสนี้ ทีมผู้จัดการ Live จึงขอรวบรวมภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ของ ?พ่อ? ประกอบกับ "ชื่อภาพ" ที่พระองค์ทรงตั้งขึ้นมาเองด้วยภาษาที่สละสลวยเข้ากับภาพยิ่งนัก
และจะสังเกตเห็นได้ชัดว่า พระองค์ท่านทรงโปรดการฉายพระฉายาลักษณ์
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ อย่างดงามหลายภาพ
แสดงถึงความรักโรแมนติกเป็นอย่างมาก
แตรหลวง
ทรงใช้วิธีถ่ายภาพด้วยพระองค์เอง โดยทรงตั้งกล้องคู่พระหัตถ์บนสามขา
แล้วทรงใช้ปุ่มลั่นชัตเตอร์ที่ Self-timer ทรงกะเวลาให้กล้องลั่นชัตเตอร์
ถ่ายภาพพระองค์เองได้อย่างพอเหมาะพอดีกับขณะที่ทรงเป่าแตรอย่างดัง
เงาพิศวง
คราวที่เสด็จพระราช ดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับแรม ณ พระตำหนักไกลกังวล
หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ขณะที่ทรงพระดำเนินขึ้นจากบ่อสรงน้ำ
เวลานั้นอากาศแจ่มแจ้ง แสงแดดกำลังส่องจ้า
ทอดพระเนตรเห็นเงาของพระองค์เองกับเงาของต้นไม้ทอดลงไปในผิวน้ำ
พริ้วน้ำกำลังเต้นระริกด้วยแรงลม ทำให้เกิดลวดลายผสมประสานกันอย่างประหลาด
เพราะในแสงสว่างยังมีแสงซ้อนกันเป็นริ้ว ๆ
ในเงาก็ยังมีเงาเป็นลวดลายสีหนักสีเบาสลับกัน
ด้วยความสนพระราชหฤทัย จึงทรงถ่ายภาพไว้ทันที
แต่ตรงที่ทรงยืนอยู่นั้นทรงถ่ายภาพไม่ถนัดนัก
ถึงกระนั้นด้วยพระราชอุตสาหะอย่างแรงกล้า
จึงทรงใช้พระหัตถ์ซ้ายจับต้นปาล์มไว้ส่วนพระหัตถ์ขวาทรงจับกล้องถ่ายภาพและ
ทรงลั่นชัตเตอร์ได้ อย่างแน่พระทัย
สามัคคี สี่พระหัตถ์
เป็นภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ของทูลกระหม่อม ๔
พระองค์ทรงวางพระหัตถ์ขวาเรียงเทียบขนาดกันไว้ ทรงฉายภาพ
พระหัตถ์ใหญ่พระหัตถ์เล็ก ที่ทรงวางเรียงลำดับไว้
เสมือนเป็นการทรงสมานสามัคคีระหว่าง พี่น้อง
เป็นภาพที่สามารถถ่ายทอดความหมายได้อย่างลุ่มลึก
คู่ดาว
เมื่อคราวเสด็จฯ แปรพระราชฐานไปประทับแรม ณ
พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ จังหวัดเชียงใหม่ ใน พ.ศ. ๒๕๑๒
วันหนึ่งขณะที่ประทับอยู่ในบริเวณสวนดอกไม้ข้างพระตำหนักเป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์กำลังทอแสงเรื่อเรืองอยู่ในระดับยอดไม้
มุมหนึ่งที่แสงอาทิตย์ส่องลอดยอดไม้
เป็นประกายระยิบวูบวาวราวกับแสงดาวดวงโตๆก็พอดีกับที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ
พระบรมราชินีนาถทรงประดับพระกุณฑลรูปดอกไม้ที่มีกลีบบาน
เป็นแฉกคล้ายประกายดาว
ทันทีที่พระองค์ท่านทอดพระเนตรเห็นพระกุณฑลกับแสงอาทิตย์ได้คู่สอดคล้องกัน
ก็ทรงฉายพระฉายาลักษณ์ไว้
ดั่งโค้งสำคัญ
พระฉายาลักษณ์อันเป็นพระราชประวัติครั้งสำคัญส่วนหนึ่งของทั้งสองพระองค์
ที่ทรงบันทึกภาพไว้อย่างประณีตบรรจง
ด้วยพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อครั้งยังเป็น ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร
ธิดาคนโตของพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ (ม.จ. นักขัตมงคล
กิติยากร) เมื่อครั้งทรงเป็นอัครราชทูตประจำกรุงปารีส เมื่อ ๒๐ เมษายน ๒๔๙๓
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ทรงเยี่ยมที่สถานทูต และได้ทรงถ่ายภาพ
ม.ร.ว.สิริกิติ์ กำลังยิ้มแย้มสดชื่น ในรถยนต์พระที่นั่ง
เมื่อหน้าหนาว
ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน สมเด็จพระนางเจ้าฯ
พระบรมราชินีนาถในฉลองพระองค์กันหนาวชุดสีเข้ม
ทรงยืนอยู่ด้วยพระอารมณ์สดชื่นแจ่มใส
ในขณะที่ทรงเป็นแบบสำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงฉายพระฉายาลักษณ์
ทรงใช้ห้องบนพระตำหนักจิตรลดาฯ เป็นฉากสำหรับทรงถ่ายภาพ
ที่กลางทุ่งดอกไม้
เมื่อปี ๒๕๐๓ ขณะที่ยังประทับ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ คราวหนึ่งเสด็จฯ
ไปยังทุ่งกว้างบนเนินเขาแห่งหนึ่ง บริเวณเป็นทุ่งโล่งกว้างไกล
อากาศสดชื่นแจ่มใสดียิ่งนัก ณ
บริเวณนี้มีต้นไม้ใบหญ้าสารพัดกำลังออกดอกบานสะพรั่งเป็นที่ต้องพระราชหฤทัยของทั้งสองพระองค์
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
ทรงเลือกเก็บดอกไม้สีขาวมากำไว้ในพระหัตถ์ซ้าย
พอเอื้อมพระหัตถ์ขวาจะทรงเก็บดอกต่อไป
พระราชอิริยาบถที่กำลังทรงเงยพระพักตร์ขึ้นเล็กน้อยและทรงแย้มพระสรวลนั้นงดงาม
เป็นด้านที่เป็นศิลปะและเหมาะกับมุมกล้อง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงบันทึกภาพไว้ทันที
ตามรอยพระยุคลบาท
คราวหนึ่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ
สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ ทรงตามเสด็จ เสด็จฯ
เยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดารด้วย วันนั้นมีฝนพรำทำให้น้ำป่าบ่าไหล
หนทางเปียกแฉะ เป็นเหตุให้ทรงพระราชดำเนินด้วยความลำบาก
ตลอดทางจึงทรงลื่นล้มไปหลายครั้ง
เทพธิดาขมิ้นป่า
เป็นภาพพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี
พระองค์ท่านทรงสนพระทัยเรื่องพืชพรรณไม้
ทั้งไม้ดอกไม้ประดับและสมุนไพรเป็นประจำอยู่แล้ว คราวหนึ่งเมื่อปี พ.ศ.
๒๕๒๕ ขณะที่แปรพระราชฐานไปประทับ ณ ภูพิงคราชนิเวศน์
ในปีนั้นทางสวนดอกไม้ภูพิงค์ได้ไม้พันธุ์ดีมาอีกอย่างหนึ่งชื่อว่าขมิ้นต้น
หรือขมิ้นป่า ลักษณะเป็นต้นสูงท่วมศีรษะ ใบใหญ่มีหนามตามลำต้นและกิ่งก้าน
ฤดูออกดอกอยู่ในตอนต้นฤดูร้อนราวเดือนกุมภาพันธ์
ดอกเป็นช่อยาวสีเหลืองสวยเหมือนขมิ้นทอง
ปีหนึ่งจะออกดอกเพียงหนเดียวพอดีกับเวลาที่ขมิ้นต้นกำลังออกดอกบานเต็มที่
สมเด็จพระเทพฯ กำลังทรงชื่นชมด้วยความสนพระทัยอยู่ใต้พุ่มขมิ้นต้น
ก็พอดีกับที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกำลังทรงกล้องถ่ายภาพอยู่ใกล้ ๆ
ทูลกระหม่อมเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตร
แสงแดดส่องมาต้องพระพักตร์ด้านข้างพอดี ตรงนั้นมีใบไม้เป็นฉากหน้า
ดอกขมิ้นป่าแวดล้อมอยู่รอบข้าง พอแย้มพระสรวล
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงลั่นชัตเตอร์ถ่ายภาพไว้อย่างฉับพลัน
ในหมู่เมฆ
ทรงถ่ายภาพนี้ระหว่างที่ประทับอยู่บนเครื่องบินพระที่นั่งเสด็จฯ
ไปจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๗ เครื่องบินสองลำนี้
เป็นเครื่องบินคุ้มกันของกองทัพอากาศไทย ปฏิบัติการบินถวายอารักขา
ตลอดเส้นทางระหว่างดอนเมืองถึงเชียงใหม่
พอทอดพระเนตรเห็นจังหวะที่ได้เส้นได้มุมเป็นศิลปะ
จึงทรงบันทึกภาพไว้ได้อย่างสวยงาม
จ้อง
คราวเสด็จฯ แปรพระราชฐานไปประทับแรม ณ พระตำหนักไกลกังวลหัวหิน
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ บ่ายวันหนึ่งทรงขับรถพระที่นั่งด้วยพระองค์เอง
เพื่อจะได้ทอดพระเนตรชีวิตความเป็นอยู่อันแท้จริงของพสกนิกรทั้งหลายในละแวกนั้น
ระหว่างทางที่เสด็จฯ ผ่านไปตามถนนในชนบทชายป่า ได้ทอดพระเนตรเห็น
เกี่ยวกับกล้องถ่ายภาพคู่พระหัตถ์
เคยมีผู้สนใจในวงการถ่ายภาพสงสัยกันอยู่ว่า
ทำไมจึงไม่ทรงใช้กล้องถ่ายภาพชนิดเยี่ยมยอดที่มีราคาแพงที่นักถ่ายภาพบางคน
เขาใช้กัน
เพราะตามความเป็นจริงการที่จะทรงใช้กล้องดีมีคุณภาพสูงเพียงใดก็ย่อมได้
แต่กลับทรงใช้กล้องถ่ายภาพแบบธรรมดาที่ใคร ๆ หาซื้อขายได้ทั่วไปในท้องตลาด
ซึ่งพระราชจริยวัตรนี้
มีผู้ใหญ่ในวงการถ่ายภาพอธิบายเป็นการเทิดพระเกียรติว่า
ประเทศไทยเราผลิตกล้องและอุปกรณ์ถ่ายภาพไม่ได้เลย
เราต้องเสียดุลการค้าให้กับต่างประเทศเป็นอันมาก
จึงควรสังวรระวังการใช้จ่ายในเรื่องนี้ให้ดีแต่พอเหมาะพอควร
ส่วนผู้ที่ทำธุรกิจทางการถ่ายภาพต้องการผลิตงานคุณภาพดี
ต้องใช้ของดีราคาแพงนี่เป็นเรื่องธรรมดา ดังนั้น
ผู้ที่ถ่ายภาพกันโดยทั่วไปเพียงแต่ใช้กล้องถ่ายภาพระดับมาตรฐานทำงานได้
อย่างถูกต้องก็เหมาะดีที่สุดแล้ว ความสำคัญเรื่องนี้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงเป็นแบบอย่างที่วิเศษที่สุด
สมควรที่วงการถ่ายภาพทั้งหลายจักได้บำเพ็ญตนเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท
เพื่อเป็นศักดิ์สิริมงคลให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
?ความทรงจำผ่านเลนส์ของ ?พ่อ? จะคงอยู่ในใจพวกเราชาวไทยไปตราบนานเท่านาน
ในอ้อมพระกร
แสงนวลนุ่มเย็นนี้ที่ดอยปุย
สงบ
แม่ของชาติ
ยิ้มรับเสด็จ
เหมือนฝัน