คุณพระ!! เปิดแล้วเจ้าค่ะ "เมืองมัลลิกา ร.ศ.124" ย้อนอดีตสมัย ร.5

อ่าน 9,771

กำแพงเมืองมัลลิกา

เพราะไม่มีใครสามารถย้อนเวลากลับไปยังอดีตได้

หลายคนจึงถวิลหาที่จะกลับไปสัมผัสบรรยากาศอันมากเสน่ห์ของวิถีชีวิตและวัฒนธรรมในอดีต

จึงเป็นที่มาของการสร้าง "เรือนมัลลิกา ร.ศ.124"

เมืองแห่งวัฒนธรรมที่จะพาเราย้อนยุคไปยังสมัยรัชกาลที่ 5

พาคนรุ่นใหม่ไปย้อนอดีตสัมผัสบรรยากาศเก่าแก่และงดงามของบ้านเมืองในสมัยนั้น

สะพานหัน

เมืองมัลลิกา ร.ศ.124 จัดสร้างขึ้นภายในเนื้อที่กว่า 60

ไร่ ใน อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี

เป็นเมืองแห่งวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่จะพาทุกคนย้อนเวลานับ 100 ปี

ไปสัมผัสรากเหง้าความเป็นไทยอย่างแท้จริงผ่านงานสถาปัตยกรรมและวิถีชีวิตของชาวสยามในอดีต

ในช่วงปลายรัชสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5)

หลังจากมีการประกาศเลิกทาส

นายพลศักดิ์ ประกอบ ผู้ก่อตั้งเรือนมัลลิกา ร.ศ.124 กล่าวถึงที่มาของโครงการนี้ว่า

เกิดจากความตั้งใจที่อยากจะสร้างแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่เหมือนมีชีวิตจริงๆขึ้นมา

เพื่อถ่ายทอดถึงวิถีชีวิต และภูมิปัญญญาของชาวไทยสมัยโบราณ

ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวที่อยากจะเที่ยวให้ถึงแก่น

ไม่ต้องการมาชื่นชมเพียงเศษซากหรือร่องรอยทางวัฒนธรรมที่หลงเหลือจากอดีตถึงปัจจุบัน

แต่ให้รู้ซึ้งถึงเรื่องราวที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง

รวมทั้งส่งต่อความทรงจำอันงดงามในอดีตที่เกือบจะเลือนหายสู่คนรุ่นหลัง

แหล่งการค้าเก่าแก่เช่น ย่านสามแพร่ง ยานเยาวราช ย่านบางรัก

ส่วนเหตุผลที่เลือกหยิบเอายุคสมัย ร.ศ.124 ที่รัชกาลที่ 5

ทรงประกาศเลิกทาสได้สำเร็จขึ้นมาเป็นรูปแบบในการสร้างเมืองนี้ เพราะในร.ศ.

124 เป็นยุคที่เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายขึ้นในแผ่นดินสยาม

ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลต่อรูปแบบการดำเนินชีวิตของคนยุคนั้นอย่างมีนัยยะ

ตั้งแต่การประกาศเลิกทาส

การแผ่ขยายอิทธิพลจากโลกตะวันตกเข้ามาในแผ่นดินสยาม

และนำไปสู่การผสมผสานทางวัฒนธรรมระหว่างรากเหง้าของวิถีชีวิตคนไทยดั้งเดิมกับวัฒนธรรมตะวันตก

จนได้รับการนิยามว่าเป็น ยุคทองแห่งความศิวิไลซ์

เรือนแพที่ตั้งของร้านกาแฟงตงฮู

เมืองแห่งนี้เป็นเมืองโบราณที่มีชีวิต ตั้งแต่การเลือกใช้ชื่อ ?มัลลิกา?

ซึ่งเป็นชื่อแม่น้ำที่เป็นต้นน้ำของแม่น้ำอิระวดีในพม่า

อันได้ชื่อว่าเป็นแหล่งรวมอารยธรรมโบราณในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไว้ด้วยกัน

เมื่อได้เข้ามาเยือนในเมืองมัลลิกา ร.ศ.124

พบว่าภายในประกอบไปด้วยเรือนไทย 4 ประเภท คือ เรือนเดี่ยว เรือนหมู่

เรือนคหบดี และย่านการค้า

โดยเริ่มต้นเมื่อก้าวผ่านประตูเข้าสู่เมืองมัลลิกา ร.ศ.124

แล้วเดินเลียบคลองเพื่อข้ามสะพานหัน ก็จะได้ยินเสียงพูดจา ?เจ้าคะ? ?เจ้าค่ะ? ?ขอรับ?

เพื่อเชื้อเชิญให้ลองชิมอาหาร ทั้งคุณยาย คุณป้า หรือเด็กสาว

ทุกคนต่างใส่โจงกระเบนและผ้าแถบรัดอกสีน้ำตาลเข้ม-อ่อน

เป็นตัวแทนของชาวบ้านในเมืองมัลลิกา ร.ศ.124

ได้บรรยากาศย้อนยุคด้วยการแต่งกายในสมัยโบราณ

จากนั้นจะพบกับการจำลองย่านการค้าที่คึกคักในสมัยนั้น เช่น ย่านสามแพร่ง

ย่านเยาวราช ย่านบางรัก ที่มีร้านรวงมากมายไม่ว่าจะเป็น ร้านข้าวโพดคั่ว

ร้านขนมไทยโบราณ เช่น ขนมจ่ามงกุฏ ขนมทองเอก ขนมหยกมณี ขนมบุหลันดั้นเมฆ

ขนมครก ขนมน้ำดอกไม้ ขนมเรไร ขนมบ้าบิ่น ข้าวไข่ปลา เป็นต้น

ซึ่งอาหารทุกอย่างที่จำหน่ายภายในเมือง

ล้วนแล้วแต่เป็นสูตรจากชาววังขนานแท้ โดยมีคุณนภัสสร เจริญพานิชย์ ครูใหญ่ประจำครัวขนมหวานเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้

ผ่านขั้นตอนวิธีการผลิตอย่างละเอียด

ด้วยการใช้เตาถ่านแบบดั้งเดิมที่ยากต่อการควบคุมอุณหภูมิไฟให้คงที่

สะท้อนความวิริยะและความพิถีพิถันก่อนที่จะประกอบอาหารคาวหวานในแต่ละครั้ง

นอกจากนี้ยังมีร้านยำส้มโอ ร้านหมูสะเต๊ะ ร้านนวดแผนไทย ร้านเครื่องเผา

ถ้วยชาม ร้านน้ำอบ-น้ำหอม และแบงค์สยามกัมมาจล

ภาพมุมสูงมองลงไปเห็นสะพานผ่านพิภพ และเรือนคหบดี

ถัดจากย่านการค้าบนบก เราก็จะได้ไปสัมผัสบรรยากาศของเรือนแพ

ย่านการค้าทางน้ำ ร้านค้าต่างๆ

บรรยากาศการค้าขายในอดีตซึ่งเส้นทางหลักในการสัญจรไปมาคือทางน้ำ

ดังนั้นเรือนแพเหล่านี้จะปลูกไว้ริมน้ำรายล้อมไปด้วยร้านค้ามากมาย เช่น

ร้านก๋วยเตี๋ยวโบราณ ร้านขนมจีนโบราณ อีกหนึ่งร้านที่ห้ามพลาดคือ ร้านกาแฟตงฮู

ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นร้านกาแฟที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้น

เพราะมีการนำเมล็ดกาแฟสดจากต่างประเทศเข้ามาใช้

ถัดมาคือร้านข้าวแกงที่สร้างจุดขายได้อย่างน่าสนใจ

ด้วยการนำเมนูข้าวแกงที่รัชกาลที่ 5 ทรงโปรด

มานำเสนอเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับรสชาติของอาหารไทยแท้แบบดั้งเดิม

นอกจากนี้ยังมีร้านจำหน่ายของชำร่วยเพื่อเป็นตัวแทนความทรงจำให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้ออีกด้วย

หอชมเมือง

ฝั่งตรงข้ามกันนั้นคือเรือนเดี่ยว

เป็นเรือนชาวบ้านซึ่งเป็นที่อยู่ของชนชั้นกรรมาชีพและชาวนา

มีหน้าที่ผลิตปัจจัยพื้นฐานในการยังชีพด้วยการ ทำไร่ ทำนา ทำสวน ปลูกผัก ณ

เรือนนี้ นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับภูมิปัญญาชาวบ้านอย่างแท้จริง

ตั้งแต่การเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตเพื่อส่งต่อไปใช้ในเรือนครัว

กระบวนการสีและตำข้าวแบบโบราณ เพื่อให้ได้ข้าวสารมาบริโภค

ร้านกาแฟตงฮู ร้านกาแฟที่ทันสมัยในยุคนั้น

ถัดมาคือเรือนคหบดี ซึ่งเป็นที่อยู่ของชนชั้นปกครอง

กิจกรรมบนเรือนแห่งนี้จะเน้นงานไปที่งานฝีมือ เช่น งานใบตอง งานดอกไม้

งานเครื่องแขวน งานแกะสลัก ซึ่งเป็นผลงานศิลปะแสนประณีตที่หาชมได้ยาก

อีกหนึ่งในความพิเศษของเรือนนี้คือ

พื้นที่เรือนครัวที่จะสะท้อนวิถีชีวิตการทำอาหารอย่างวิจิตรงดงามของคนสมัยก่อน

ช่วยคืนชีพหลากหลายภูมิปัญญาที่แทบจะสูญสลายไปแล้ว เช่น

การหุงข้าวด้วยเตากระทะ การประกอบอาหารคาวหวานตามแบบฉบับโบราณแท้

โดยผลงานจากเรือนครัวทั้งหมดนี้ จะถูกส่งต่อไปใช้ประโยชน์จริง

ไม่ว่าจะเป็นพวงมาลัยจะนำไปใช้สำหรับต้อนรับแขก

เช่นเดียวกับอาหารคาวหวานจะนำไปเลี้ยงพนักงานทุกคนในเมืองจำลอง

การใช้เรือพาย เป็นการสัญจรทางน้ำที่ได้รับความนิยมในสมัยนั้น

ในส่วนของเรือนหมู่เป็นเรือนสำหรับรับแขกบ้านแขกเมืองของคหบดี

โดยปกติเรือนเหล่านี้มักจะมีคณะนาฏศิลป์ของตัวเองสำหรับรับแขก

ดังนั้นเรือนนี้จะสะท้อนวิถีชีวิตของนาฏศิลป์ไทย

รวมทั้งความวิจิตรบรรจงของสำรับกับข้าวไทยที่ขึ้นชื่อทั้งรสชาติและหน้าตา

อาหารที่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ อาหารที่นำมาจัดสำรับได้แก่ แกงบวน

ยำใหญ่ใส่ทุกอย่าง หมี่กรอบ แกงมัสมั่นไก่ น้ำพริกและผักสด นอกจากนั้นแล้ว

เรือนหมู่แห่งนี้ยังถือเป็นเรือนหมู่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเลยทีเดียว

รถเจ๊ก ยานพาหนะที่ใช้คนลาก

จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของเมืองมัลลิกานอกจากการจำลองบ้านเมืองแล้ว

ยังมีการจำลองให้เมืองนี้มีประชากรราว 400 คน ประกอบด้วยกลุ่มคนใน 3

ช่วงวัย ตั้งแต่ผู้สูงอายุ ผู้ใหญ่ และวัยรุ่น

เพื่อให้เป็นไปตามสภาพครอบครัวไทยในอดีต

ทุกคนจะแต่งกายแบบโบราณคือนุ่งกระโจมออกและผ้าโจงกระเบน

และดำรงชีวิตในแต่ละวันจะเหมือนจริงในยุคนั้น

และการใช้จ่ายภายในเมืองมัลลิกา ร.ศ.124

นักท่องเที่ยวต้องแลกเงินบาทไปเป็นเงินสตางค์สำหรับใช้จับจ่ายซื้อของอีกด้วย

เหรียญสตางค์แดง สำหรับใช้จ่ายภายในเมือง

สำรับอาหารโบราณ สำหรับรับรองแขก ที่ประสงค์จะรับประทานอาหาร ณ เรือนหมู่

การแสดงโขนสำหรับรับรองแขกที่ประสงค์จะรับประทานอาหาร ณ เรือนหมู่

มีข้อแนะนำสำหรับผู้ที่มาเยือนเมืองมัลลิกา ร.ศ.124

แล้วอยากอินกับบรรยากาศย้อนยุคให้เต็มที่ ทางเมืองมัลลิกา ร.ศ.124

มีเครื่องแต่งกายที่สะท้อนถึงยุค ร.ศ.124 ไว้คอยบริการ โดยชุดผู้หญิงราคา

200 บาท ชุดเด็กผู้หญิงราคา 50-100 บาท ชุดผู้ชาย 100 บาท ชุดเด็กผู้ชาย 50

บาท

นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นช่วงเปิดเมืองตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30

พฤศจิกายน 2559 ค่าเข้าชมเมืองสำหรับผู้ใหญ่ 150 บาท/ท่าน และเด็กราคา 75

บาท/ท่าน

และสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาชมพร้อมรับประทานอาหารโบราณหาชิมได้ยากและชมการแสดงโชว์

จำหน่ายบัตรเข้าชมพร้อมอาหารเย็นสำหรับผู้ใหญ่ 550 บาท/ท่าน

และสำหรับเด็กราคา 350 บาท/ท่าน (เด็กที่สูงต่ำกว่า 80 ซม. เข้าชมฟรี)

เวลาการขายบัตรเข้าชมเมือง 09.00-17.30 น. เวลาเปิด-ปิดเมือง 09.00-19.00

น. ส่วนเวลาอาหารเย็นและการแสดงคือ 18.00-20.00 น.

นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติก็ให้ความสนใจกับวัฒนธรรมไทย

เมืองมัลลิกาตั้งอยู่ตรงทางเข้าประสาทเมืองสิงห์ ติดกับปั๊มบางจาก

ต.สิงห์ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ห่างจากตัวเมืองกาญจนบุรี 32 กม.

ผู้สนใจติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. 0 3454 0884 -86

นายพลศักดิ์ ประกอบ ผู้ก่อตั้งเรือนมัลลิกา ร.ศ.124



บทความแนะนำ


Amazonเทคโนโลยีข่าวบันเทิงรษาเอิร์ธPortfoiloสัมภาษณ์Admissionsทรงผมทรงผมสั้นทรงผมประบ่าทรงผมถักเปียดูดวงดวงความรัก