คุณพระ!! เปิดแล้วเจ้าค่ะ "เมืองมัลลิกา ร.ศ.124" ย้อนอดีตสมัย ร.5
กำแพงเมืองมัลลิกา |
เพราะไม่มีใครสามารถย้อนเวลากลับไปยังอดีตได้
หลายคนจึงถวิลหาที่จะกลับไปสัมผัสบรรยากาศอันมากเสน่ห์ของวิถีชีวิตและวัฒนธรรมในอดีต
จึงเป็นที่มาของการสร้าง "เรือนมัลลิกา ร.ศ.124"
เมืองแห่งวัฒนธรรมที่จะพาเราย้อนยุคไปยังสมัยรัชกาลที่ 5
พาคนรุ่นใหม่ไปย้อนอดีตสัมผัสบรรยากาศเก่าแก่และงดงามของบ้านเมืองในสมัยนั้น
สะพานหัน |
เมืองมัลลิกา ร.ศ.124 จัดสร้างขึ้นภายในเนื้อที่กว่า 60
ไร่ ใน อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี
เป็นเมืองแห่งวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่จะพาทุกคนย้อนเวลานับ 100 ปี
ไปสัมผัสรากเหง้าความเป็นไทยอย่างแท้จริงผ่านงานสถาปัตยกรรมและวิถีชีวิตของชาวสยามในอดีต
ในช่วงปลายรัชสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5)
หลังจากมีการประกาศเลิกทาส
นายพลศักดิ์ ประกอบ ผู้ก่อตั้งเรือนมัลลิกา ร.ศ.124 กล่าวถึงที่มาของโครงการนี้ว่า
เกิดจากความตั้งใจที่อยากจะสร้างแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่เหมือนมีชีวิตจริงๆขึ้นมา
เพื่อถ่ายทอดถึงวิถีชีวิต และภูมิปัญญญาของชาวไทยสมัยโบราณ
ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวที่อยากจะเที่ยวให้ถึงแก่น
ไม่ต้องการมาชื่นชมเพียงเศษซากหรือร่องรอยทางวัฒนธรรมที่หลงเหลือจากอดีตถึงปัจจุบัน
แต่ให้รู้ซึ้งถึงเรื่องราวที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
รวมทั้งส่งต่อความทรงจำอันงดงามในอดีตที่เกือบจะเลือนหายสู่คนรุ่นหลัง
แหล่งการค้าเก่าแก่เช่น ย่านสามแพร่ง ยานเยาวราช ย่านบางรัก |
ส่วนเหตุผลที่เลือกหยิบเอายุคสมัย ร.ศ.124 ที่รัชกาลที่ 5
ทรงประกาศเลิกทาสได้สำเร็จขึ้นมาเป็นรูปแบบในการสร้างเมืองนี้ เพราะในร.ศ.
124 เป็นยุคที่เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายขึ้นในแผ่นดินสยาม
ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลต่อรูปแบบการดำเนินชีวิตของคนยุคนั้นอย่างมีนัยยะ
ตั้งแต่การประกาศเลิกทาส
การแผ่ขยายอิทธิพลจากโลกตะวันตกเข้ามาในแผ่นดินสยาม
และนำไปสู่การผสมผสานทางวัฒนธรรมระหว่างรากเหง้าของวิถีชีวิตคนไทยดั้งเดิมกับวัฒนธรรมตะวันตก
จนได้รับการนิยามว่าเป็น ยุคทองแห่งความศิวิไลซ์
เรือนแพที่ตั้งของร้านกาแฟงตงฮู |
เมืองแห่งนี้เป็นเมืองโบราณที่มีชีวิต ตั้งแต่การเลือกใช้ชื่อ ?มัลลิกา?
ซึ่งเป็นชื่อแม่น้ำที่เป็นต้นน้ำของแม่น้ำอิระวดีในพม่า
อันได้ชื่อว่าเป็นแหล่งรวมอารยธรรมโบราณในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไว้ด้วยกัน
เมื่อได้เข้ามาเยือนในเมืองมัลลิกา ร.ศ.124
พบว่าภายในประกอบไปด้วยเรือนไทย 4 ประเภท คือ เรือนเดี่ยว เรือนหมู่
เรือนคหบดี และย่านการค้า
โดยเริ่มต้นเมื่อก้าวผ่านประตูเข้าสู่เมืองมัลลิกา ร.ศ.124
แล้วเดินเลียบคลองเพื่อข้ามสะพานหัน ก็จะได้ยินเสียงพูดจา ?เจ้าคะ? ?เจ้าค่ะ? ?ขอรับ?
เพื่อเชื้อเชิญให้ลองชิมอาหาร ทั้งคุณยาย คุณป้า หรือเด็กสาว
ทุกคนต่างใส่โจงกระเบนและผ้าแถบรัดอกสีน้ำตาลเข้ม-อ่อน
เป็นตัวแทนของชาวบ้านในเมืองมัลลิกา ร.ศ.124
ได้บรรยากาศย้อนยุคด้วยการแต่งกายในสมัยโบราณ |
จากนั้นจะพบกับการจำลองย่านการค้าที่คึกคักในสมัยนั้น เช่น ย่านสามแพร่ง
ย่านเยาวราช ย่านบางรัก ที่มีร้านรวงมากมายไม่ว่าจะเป็น ร้านข้าวโพดคั่ว
ร้านขนมไทยโบราณ เช่น ขนมจ่ามงกุฏ ขนมทองเอก ขนมหยกมณี ขนมบุหลันดั้นเมฆ
ขนมครก ขนมน้ำดอกไม้ ขนมเรไร ขนมบ้าบิ่น ข้าวไข่ปลา เป็นต้น
ซึ่งอาหารทุกอย่างที่จำหน่ายภายในเมือง
ล้วนแล้วแต่เป็นสูตรจากชาววังขนานแท้ โดยมีคุณนภัสสร เจริญพานิชย์ ครูใหญ่ประจำครัวขนมหวานเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้
ผ่านขั้นตอนวิธีการผลิตอย่างละเอียด
ด้วยการใช้เตาถ่านแบบดั้งเดิมที่ยากต่อการควบคุมอุณหภูมิไฟให้คงที่
สะท้อนความวิริยะและความพิถีพิถันก่อนที่จะประกอบอาหารคาวหวานในแต่ละครั้ง
นอกจากนี้ยังมีร้านยำส้มโอ ร้านหมูสะเต๊ะ ร้านนวดแผนไทย ร้านเครื่องเผา
ถ้วยชาม ร้านน้ำอบ-น้ำหอม และแบงค์สยามกัมมาจล
ภาพมุมสูงมองลงไปเห็นสะพานผ่านพิภพ และเรือนคหบดี |
ถัดจากย่านการค้าบนบก เราก็จะได้ไปสัมผัสบรรยากาศของเรือนแพ
ย่านการค้าทางน้ำ ร้านค้าต่างๆ
บรรยากาศการค้าขายในอดีตซึ่งเส้นทางหลักในการสัญจรไปมาคือทางน้ำ
ดังนั้นเรือนแพเหล่านี้จะปลูกไว้ริมน้ำรายล้อมไปด้วยร้านค้ามากมาย เช่น
ร้านก๋วยเตี๋ยวโบราณ ร้านขนมจีนโบราณ อีกหนึ่งร้านที่ห้ามพลาดคือ ร้านกาแฟตงฮู
ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นร้านกาแฟที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้น
เพราะมีการนำเมล็ดกาแฟสดจากต่างประเทศเข้ามาใช้
ถัดมาคือร้านข้าวแกงที่สร้างจุดขายได้อย่างน่าสนใจ
ด้วยการนำเมนูข้าวแกงที่รัชกาลที่ 5 ทรงโปรด
มานำเสนอเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับรสชาติของอาหารไทยแท้แบบดั้งเดิม
นอกจากนี้ยังมีร้านจำหน่ายของชำร่วยเพื่อเป็นตัวแทนความทรงจำให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้ออีกด้วย
หอชมเมือง |
ฝั่งตรงข้ามกันนั้นคือเรือนเดี่ยว
เป็นเรือนชาวบ้านซึ่งเป็นที่อยู่ของชนชั้นกรรมาชีพและชาวนา
มีหน้าที่ผลิตปัจจัยพื้นฐานในการยังชีพด้วยการ ทำไร่ ทำนา ทำสวน ปลูกผัก ณ
เรือนนี้ นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับภูมิปัญญาชาวบ้านอย่างแท้จริง
ตั้งแต่การเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตเพื่อส่งต่อไปใช้ในเรือนครัว
กระบวนการสีและตำข้าวแบบโบราณ เพื่อให้ได้ข้าวสารมาบริโภค
ร้านกาแฟตงฮู ร้านกาแฟที่ทันสมัยในยุคนั้น |
ถัดมาคือเรือนคหบดี ซึ่งเป็นที่อยู่ของชนชั้นปกครอง
กิจกรรมบนเรือนแห่งนี้จะเน้นงานไปที่งานฝีมือ เช่น งานใบตอง งานดอกไม้
งานเครื่องแขวน งานแกะสลัก ซึ่งเป็นผลงานศิลปะแสนประณีตที่หาชมได้ยาก
อีกหนึ่งในความพิเศษของเรือนนี้คือ
พื้นที่เรือนครัวที่จะสะท้อนวิถีชีวิตการทำอาหารอย่างวิจิตรงดงามของคนสมัยก่อน
ช่วยคืนชีพหลากหลายภูมิปัญญาที่แทบจะสูญสลายไปแล้ว เช่น
การหุงข้าวด้วยเตากระทะ การประกอบอาหารคาวหวานตามแบบฉบับโบราณแท้
โดยผลงานจากเรือนครัวทั้งหมดนี้ จะถูกส่งต่อไปใช้ประโยชน์จริง
ไม่ว่าจะเป็นพวงมาลัยจะนำไปใช้สำหรับต้อนรับแขก
เช่นเดียวกับอาหารคาวหวานจะนำไปเลี้ยงพนักงานทุกคนในเมืองจำลอง
การใช้เรือพาย เป็นการสัญจรทางน้ำที่ได้รับความนิยมในสมัยนั้น |
ในส่วนของเรือนหมู่เป็นเรือนสำหรับรับแขกบ้านแขกเมืองของคหบดี
โดยปกติเรือนเหล่านี้มักจะมีคณะนาฏศิลป์ของตัวเองสำหรับรับแขก
ดังนั้นเรือนนี้จะสะท้อนวิถีชีวิตของนาฏศิลป์ไทย
รวมทั้งความวิจิตรบรรจงของสำรับกับข้าวไทยที่ขึ้นชื่อทั้งรสชาติและหน้าตา
อาหารที่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ อาหารที่นำมาจัดสำรับได้แก่ แกงบวน
ยำใหญ่ใส่ทุกอย่าง หมี่กรอบ แกงมัสมั่นไก่ น้ำพริกและผักสด นอกจากนั้นแล้ว
เรือนหมู่แห่งนี้ยังถือเป็นเรือนหมู่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเลยทีเดียว
รถเจ๊ก ยานพาหนะที่ใช้คนลาก |
จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของเมืองมัลลิกานอกจากการจำลองบ้านเมืองแล้ว
ยังมีการจำลองให้เมืองนี้มีประชากรราว 400 คน ประกอบด้วยกลุ่มคนใน 3
ช่วงวัย ตั้งแต่ผู้สูงอายุ ผู้ใหญ่ และวัยรุ่น
เพื่อให้เป็นไปตามสภาพครอบครัวไทยในอดีต
ทุกคนจะแต่งกายแบบโบราณคือนุ่งกระโจมออกและผ้าโจงกระเบน
และดำรงชีวิตในแต่ละวันจะเหมือนจริงในยุคนั้น
และการใช้จ่ายภายในเมืองมัลลิกา ร.ศ.124
นักท่องเที่ยวต้องแลกเงินบาทไปเป็นเงินสตางค์สำหรับใช้จับจ่ายซื้อของอีกด้วย
เหรียญสตางค์แดง สำหรับใช้จ่ายภายในเมือง
สำรับอาหารโบราณ สำหรับรับรองแขก ที่ประสงค์จะรับประทานอาหาร ณ เรือนหมู่
การแสดงโขนสำหรับรับรองแขกที่ประสงค์จะรับประทานอาหาร ณ เรือนหมู่ |
มีข้อแนะนำสำหรับผู้ที่มาเยือนเมืองมัลลิกา ร.ศ.124
แล้วอยากอินกับบรรยากาศย้อนยุคให้เต็มที่ ทางเมืองมัลลิกา ร.ศ.124
มีเครื่องแต่งกายที่สะท้อนถึงยุค ร.ศ.124 ไว้คอยบริการ โดยชุดผู้หญิงราคา
200 บาท ชุดเด็กผู้หญิงราคา 50-100 บาท ชุดผู้ชาย 100 บาท ชุดเด็กผู้ชาย 50
บาท
นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นช่วงเปิดเมืองตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30
พฤศจิกายน 2559 ค่าเข้าชมเมืองสำหรับผู้ใหญ่ 150 บาท/ท่าน และเด็กราคา 75
บาท/ท่าน
และสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาชมพร้อมรับประทานอาหารโบราณหาชิมได้ยากและชมการแสดงโชว์
จำหน่ายบัตรเข้าชมพร้อมอาหารเย็นสำหรับผู้ใหญ่ 550 บาท/ท่าน
และสำหรับเด็กราคา 350 บาท/ท่าน (เด็กที่สูงต่ำกว่า 80 ซม. เข้าชมฟรี)
เวลาการขายบัตรเข้าชมเมือง 09.00-17.30 น. เวลาเปิด-ปิดเมือง 09.00-19.00
น. ส่วนเวลาอาหารเย็นและการแสดงคือ 18.00-20.00 น.
นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติก็ให้ความสนใจกับวัฒนธรรมไทย |
เมืองมัลลิกาตั้งอยู่ตรงทางเข้าประสาทเมืองสิงห์ ติดกับปั๊มบางจาก
ต.สิงห์ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ห่างจากตัวเมืองกาญจนบุรี 32 กม.
ผู้สนใจติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. 0 3454 0884 -86
นายพลศักดิ์ ประกอบ ผู้ก่อตั้งเรือนมัลลิกา ร.ศ.124