ปิดฉากคดีดังฆ่านายกตุ่น ฎีกาคุกตลอดชีวิต "ครรชิต" ? แฉ "ดีเอ็นเอ" บนกระสุนมัด
เช้าวันที่ 8 ธ.ค. ที่ห้องพิจารณาคดี ศาลจังหวัดสมุทรสาคร น.ส.ดาสินี
มาลัยพงษ์ ผู้พิพากษาศาลจังหวัดสมุทรสาคร
ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ในคดีอื้อฉาวที่ยืดเยื้อยาวนานมากว่า 5
ปี กรณีที่อดีตส.ส.คนดังแห่งพรรคประชาธิปัตย์ นายครรชิต ทับสุวรรณ ก่อเหตุยิง นายอุดร ไกรวัตนุสสรณ์ หรือ นายกตุ่น อดีตนายก
อบจ.สมุทรสาคร เสียชีวิตคาปั๊มน้ำมันในเวลากลางวันแสกๆ อย่างไม่สะทกสะท้าน
ก่อนจะหลบหนีไปและมอบตัวในเวลาต่อมา คดีนี้เจ้าตัวให้การปฏิเสธ
อ้างว่าช่วงเวลาที่เกิดเหตุไปปฏิบัติภารกิจที่ต่างจังหวัด
แต่ด้วยพยานหลักฐาน ที่มัดแน่นศาลชั้นต้นจึงได้พิพากษาประหารชีวิต
ก่อนที่ศาลอุทธรณ์จะตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต กระทั่งมาถึงขั้นศาลฎีกาปฐมบทแห่งคดี
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2554 นายอุดร ไกรวัตนุสสรณ์ หรือ นายกตุ่น
นายกอบจ.สมุทรสาคร ขณะนั้น
ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตระหว่างจอดรถเพื่อเข้าห้องน้ำภายในปั๊มน้ำมันปตท.ริมถนนเศรษฐกิจ
ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร โดยคนร้ายเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่
สวมชุดซาฟารีสีดำ ขับรถกระบะโตโยต้า วีโก้ สีบรอนซ์ทอง
เข้ามาจอดก่อนลงมาพูดคุยกับผู้ตายซักครู่เดียว
ก่อนจะชักอาวุธปืนออกมาจ่อยิงใส่จนผู้ตายล้มลง
จากนั้นยังได้ยิงซ้ำไปอีกหลายนัด ขณะนั้น นายทองพูล พนาราบ
คนขับรถของนายอุดร พยายามวิ่งเข้ามาประคองเพื่อนำตัวส่งโรงพยาบาล
แต่ถูกคนร้ายหันปืนมาจ่อที่ศีรษะ พร้อมข่มขู่จนต้องถอยไปหลบอยู่ข้างๆ รถ
ก่อนที่คนร้ายจะขึ้นรถกระบะขับออกไปอย่างรวดเร็ว
นายทองพูลรีบเข้าไปดูเจ้านายพบว่าเสียชีวิตแล้ว
เจ้าตัวถึงกับร่ำไห้ด้วยความเสียใจ ก่อนรีบโทรศัพท์ไปแจ้งข่าวให้ทางญาติๆ
ของนายอุดรทราบข่าวร้ายพยานหลักฐานมัดตัว
หลังเกิดเหตุ พล.ต.ต.โสภณ พิสุทธิวงษ์
รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 (ยศในขณะนั้น)
ลงมากำกับดูแลการสอบสวนปากคำพยานด้วยตนเอง
ทำให้นายทองพูลที่ตอนแรกไม่ยอมบอกชื่อคนร้าย
โดยให้การแต่เพียงว่าจำหน้าได้แต่ไม่รู้จักว่าเป็นใคร
มีความมั่นใจว่าจะได้รับความเป็นธรรม จึงยอมบอกว่าคนร้ายที่ก่อเหตุคือ นายครรชิต ทับสุวรรณ
ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จ.สมุทรสาคร
ซึ่งตรงกับคำให้การของพยานซึ่งเป็นพนักงานล้างรถ 2 คนภายในปั๊มน้ำมัน
ที่เห็นหน้าคนร้ายหลังก่อเหตุ ขณะเดินมาขึ้นรถหลบหนี
และยังชี้ภาพบุคคลหลายคนที่ตำรวจนำมาให้ดู
ซึ่งทั้งคู่ชี้รูปนายครรชิตขณะที่วงจรปิดตามเส้นทางถนนเศรษฐกิจ
พบรถกระบะโตโยต้า วีโก้ สีบรอนซ์ทอง
ต้องสงสัยเป็นของคนร้ายขับหลบหนีไปทางกระทุ่มแบน
ซึ่งสอดคล้องกับคำให้การของพยานขณะที่ผลการชันสูตรศพออกมาว่า นายกตุ่นถูกยิงด้วยกระสุนปืนขนาด .40 ถึง 9
นัด เมื่อประกอบกับคำให้การของพยาน
ตร.เชื่อว่าอาวุธปืนที่ใช้สังหารเป็นปืนกล็อก ขนาด.40ตำรวจตรวจสอบทะเบียนผู้ครอบครองปืน
พบว่าทั้งจังหวัดสมุทรสาครมีผู้ครอบครองปืนดังกล่าวเพียง 8 กระบอก
ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็คือนายครรชิตมอบตัวสู้คดี
ผ่านไปเพียงวันเดียว
เจ้าหน้าที่รวบรวมหลักฐานขออนุมัติหมายจับต่อศาลจังหวัดสมุทรสาคร
ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน
มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครอง
พกพาไปในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วน
ต่อมานายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์
นำทีมกฎหมายและทนายความพานายครรชิตเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่
โดยนายครรชิตให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าวันเกิดเหตุไปสัมมนา
กมธ.ท่องเที่ยวและกีฬา ที่ จ.ประจวบฯ
ขณะที่อาวุธปืนเจ้าตัวให้การว่าขายไปนานแล้ว??
?ดีเอ็นเอ?บนกระสุนมัดแน่น
สำหรับหลักฐานที่มัดแน่นจนนายครรชิตดิ้นไม่หลุดนอกจากคำให้การของพยานที่
เห็นเหตุการณ์จำนวนมาก ยังมีปมเรื่องอาวุธสังหาร ซึ่งก็คือปืนกล็อก ขนาด
.40 ที่เจ้าตัวมีไว้ครอบครอง และรถกระบะโตโยต้า วีโก้ สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน
กฉ 4124 นครศรีธรรมราช ที่เจ้าหน้าที่ออกหมายเรียกให้นำมาตรวจสอบ
แต่ไม่ได้รับความร่วมมือในการส่งหลักฐานทั้ง 2 อย่าง
เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจเช็กอาวุธปืนกล็อกขนาด .40 ในพื้นที่สมุทรสาคร
พบมีเพียง 8 กระบอก 1 ในนั้นมีนายครรชิตครอบครองอยู่ด้วย
เจ้าหน้าที่จึงขอหมายค้นและเข้าตรวจสอบที่บ้านพักของนายครรชิต
แต่ก็ไม่พบทั้งอาวุธปืนและรถแม้จะไม่มีปืนและรถแต่ด้วยการตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์
ก็พบว่าปลอกกระสุนปืนที่ตกอยู่ในจุดเกิดเหตุมีดีเอ็นเอของนายครรชิตติดอยู่
จึงเป็นอีกหลักฐานสำคัญที่มัดแน่นยากจะดิ้นหลุดพบปมหยามเรื่องหญิงชนวนก่อเหตุ
สำหรับชนวนเหตุในการสังหารโหดเรื่องนี้
ตำรวจพบว่าไม่เกี่ยวกับประเด็นทางการเมือง
แต่จากการสอบสวนเชิงลึกพบเป็นเรื่องเกี่ยวกับศักดิ์ศรี
โดยนายกตุ่นเคยมีเลขาฯ สาวคู่ใจ ที่สนิทสนมกันมาก ต่อมาเลขาฯ
คนดังกล่าวลาออกไปทำงานที่อื่น กระทั่งได้รู้จักกับนายครรชิต
ต่อมานายครรชิตไม่พอใจที่นายกตุ่นมักชอบพูดจาพาดพิงถึงหญิงสาวคนดังกล่าว
ทำนองว่าให้ดูว่าลูกที่คลอดออกมาจะหน้าเหมือนใคร
จนเกือบมีเรื่องกันหลายครั้ง
กระทั่งล่าสุดมาพบกันในจุดเกิดเหตุและเกิดเหตุร้ายขึ้น
เมื่อเจ้าหน้าที่สามารถปะติดปะต่อเหตุการณ์ทั้งหมด
และรวบรวมพยานหลักฐานจนมัดแน่น จึงส่งสำนวนให้อัยการพิจารณา
แต่ในขณะนั้นยังอยู่ในสมัยประชุมสภา
ทำให้นายครรชิตใช้เอกสิทธิ์การเป็นส.ส.คุ้มครอง
และขอเลื่อนการสั่งฟ้องมาตลอดศาลพิพากษาประหารชีวิต
ผ่านมาเกือบ 3 ปี ในที่สุดวันที่ 12 พ.ย. 2557
ศาลชั้นต้นตัดสินพิพากษาประหารชีวิตนายครรชิต โดยระบุว่า
จากการสืบพยานที่เป็นคนขับรถของนายอุดร
ให้การว่าก่อนเกิดเหตุขับรถพานายอุดรไปร่วมงานและเปิดงานใน จ.สมุทรสาคร
ระหว่างทางได้แวะเข้าปั๊มน้ำมันปตท.ถนนเศรษฐกิจ ต.ท่าทราย อ.เมืองสมุทรสาคร
จากนั้นพยานได้ไปซื้อน้ำในร้านสะดวกซื้อ และสังเกตเห็นรถกระบะโตโยต้า
วีโก้ สีบรอนซ์ทอง ขับมาจอดข้างรถ แล้วได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด
เมื่อวิ่งไปดูพบนายอุดรถูกยิงนอนอยู่กับพื้น ก่อนคนร้ายหันปืนมา
จ่อพร้อมพูดข่มขู่ว่า ?เดี๋ยวมึง? เจ้าตัวจึงร้องขอชีวิตและวิ่งหลบไป จากนั้นคนร้ายได้ขับรถกระบะหลบหนีจากปั๊มไปตรงกับพนักงานล้างรถ 2 คนภายในปั๊ม
ซึ่งเห็นหน้าคนร้ายหลังก่อเหตุขณะเดินมาขึ้นรถหลบหนี
โดยพยานทั้งสองยังสามารถชี้ภาพนายครรชิตผู้ต้องหาได้อย่างถูกต้อง
ขณะที่กล้องวงจรปิดตามเส้นทางถนนเศรษฐกิจ พบรถกระบะโตโยต้า วีโก้
สีบรอนซ์ทอง ต้องสงสัยเป็นของคนร้ายขับรถหลบหนีไปทางกระทุ่มแบน
ซึ่งสอดคล้องกับคำให้การของพยานที่เห็นเหตุการณ์และจังหวะที่คนร้ายหลบหนี
ทั้งนี้ ที่นายครรชิตอ้างว่าวันเกิดเหตุไปสัมมนา กมธ.ท่องเที่ยวและกีฬา ที่
จ.ประจวบฯ นั้น เป็นเพียงการกล่าวอ้างลอยๆ ไม่น่าเชื่อถือรวมถึงประเด็นอาวุธปืนขนาด.40 ยี่ห้อกล็อก
อาวุธปืนขนาดเดียวกับที่คนร้ายใช้และนายครรชิตมีไว้ในครอบครอง
แม้จะอ้างว่าขายไปแล้ว แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยัน
ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ปราศจากข้อสงสัยว่านายครรชิตเป็นคนร้ายที่ยิงนายอุดร
พิพากษาให้ประหารชีวิต ขณะที่ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 7
ลดโทษจากประหารชีวิตเป็นจำคุกตลอดชีวิตคำพิพากษาปิดฉากคดี
ภายหลังต่อสู้กันมาถึง 2 ศาล ในที่สุด ก็มาถึงบทสรุป
โดยในชั้นฎีกานายครรชิต
โต้แย้งในประเด็นเรื่องความน่าเชื่อถือของนายทองพูลพยานปากเอก
ที่ตอนแรกให้การว่าไม่รู้ว่าใครยิง แต่มากลับคำบอกว่าเป็น
ตนและพนักงานในปั๊มที่ยังเป็นเยาวชน
แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้สอบสวนตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง
รวมทั้งข้อกฎหมายว่าการสอบสวนคดีนี้ทำโดยมิชอบ
เพราะเจ้าตัวเป็นส.ส.และอยู่ในสมัยประชุม
แต่เจ้าหน้าที่ยังขออนุมัติหมายจับ จึงเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ
สอบสวนจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องร้องคดีนี้ศาลฎีกาประชุมพิจารณาเห็นว่าการที่นายทองพูลให้การว่าไม่รู้ว่าคนร้ายเป็นใคร เกิดจากความกลัว กระทั่ง พล.ต.ต.โสภณ พิสุทธิวงษ์
รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 (ยศในขณะนั้น)
มาสอบสวนด้วยตนเองและให้ความมั่นใจในความปลอดภัย
จึงยอมให้การว่ามือปืนคือนายครรชิต
จึงเชื่อว่าไม่ได้เป็นการให้การกลั่นแกล้ง
ขณะที่พยานที่เป็นเยาวชนแม้ในชั้นสอบสวนจะกระทำโดยมิชอบ
แต่ในชั้นพิจารณาซึ่งเป็นคนละกระบวนการ โจทก์ได้นำตัวพยานมาเบิกความโดยชอบ
จึงสามารถรับฟังคำเบิกความได้ ขณะที่ในประเด็นที่การสอบสวนฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ได้วินิจฉัยไว้โดยละเอียดว่า
จำเลยสมัครใจไปมอบตัวต่อพนักงานสอบสวนเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ
และเคยแถลงต่อสื่อมวลชนว่าขอสละสิทธิ์คุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ
จึงถือว่าจำเลยสละสิทธิคุ้มครองฯ ศาลฎีกาเห็นตามศาลอุทธรณ์ภาค 7
พิจารณาไว้แล้วขณะที่โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกาว่า
จำเลยมีการตระเตรียมอาวุธมาเพื่อต้องการฆ่าผู้ตาย
เนื่องจากมีความโกรธแค้นผู้ตายที่ทำให้อับอาย
จึงเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ศาลเห็นว่าโจทก์และโจทก์ร่วมไม่ได้นำสืบให้เห็นชัดถึงประเด็นตามที่ฟ้อง
จึงยังมีข้อระแวงว่าจำเลยอาจไปพบผู้ตายโดยบังเอิญและตัดสินใจในทันทีก็ได้
พฤติกรรมแห่งคดียังไม่พอรับฟังได้ว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ศาลฎีกาเห็นว่าเหมาะสมแล้ว
ส่วนคดีแพ่งพิพากษาแก้ ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่นายมณฑล
ไกรวัตนุสสรณ์ โจทก์ร่วม นางพอใจ ไกรวัตนุสสรณ์ มารดาผู้เสียชีวิต
น.ส.สุรัจนา ศิลาสุวรรณ ภรรยา ด.ช.แทนไทย และด.ญ.แทนพิม ไกรวัตนุสสรณ์
บุตร-ธิดา ของผู้เสียชีวิตตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหลังฟังคำพิพากษา นายมณฑลกล่าวว่า รู้สึกพอใจกับคำตัดสิน
ผู้กระทำผิดได้รับโทษตามกฎหมายแล้ว
จากนี้ครอบครัวจะเดินทางไปยังวัดเจษฎาราม พระอารามหลวง
เพื่อจุดธูปบอกกล่าวให้นายอุดรรับรู้ว่าศาลตัดสินคดีเรียบร้อยแล้ว
ไม่ต้องเป็นห่วงอีกต่อไป?.