นี่คงเป็นครั้งสุดท้าย..กับคดีข่มขืน..แล้วประหารชีวิต..ของไทย

อ่าน 5,737

วิปริต นช.แดนประหาร ย้อนไปเมื่อปี 2539 เกิดคดีสะเทือนขวัญ เมื่อตำรวจพบร่างไร้ลมหายใจของเด็กน้อยอายุ 4 ปี อยู่ในห้องน้ำโรงเรียน ร่างกายมีร่องรอยถูกกระทำชำเรา สำนักข่าวไทย 27 ก.พ.- ย้อนไปเมื่อปี 2539 เกิดคดีสะเทือนขวัญ เมื่อตำรวจพบร่างไร้ลมหายใจของเด็กน้อยอายุ 4 ปี อยู่ในห้องน้ำโรงเรียน ร่างกายมีร่องรอยถูกกระทำชำเรา เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งหาคนร้าย จนในที่สุดสามารถจับชายต้องสงสัยได้

เวลากว่า 8 ชั่วโมง ที่พ่อแม่ต้องคลาดสายตาจากลูกผู้เป็นที่รัก ให้มาอยู่ในสถานที่ ที่ถือได้ว่าปลอดภัย แต่ใครจะคาดคิดว่า ครอบครัวหนึ่งที่พาบุตรสาวมาส่งโรงเรียนเมื่อเช้าวันที่ 5 ก.ค.2539 จะไม่มีโอกาสมารับลูกสาวกลับเหมือนเช่นทุกวัน เกิดอะไรขึ้นกับเด็กหญิงผู้เคราะห์ร้ายคนนี้ เพราะเหตุใด เธอจึงถูกพบเป็นร่างไร้วิญญาณในห้องน้ำสภาพท่อนล่างเปลือยเปล่า และมีร่องรอยถูกกระทำชำเราอย่างรุนแรง และที่สำคัญ ใครกันที่ลงมือฆ่าเด็กน้อยบริสุทธิ์ได้อย่างเหี้ยมโหดเพียงนี้

การถูกข่มขืนนั้น ส่งผลต่อเหยื่อในระยะยาว ตามงานวิจัยในเว็บไซต์ของ Rainn organization ซึ่งเป็นองค์กรต่อต้านความรุนแรงทางเพศ ระบุไว้ว่า เหยื่อ 94% ทุกข์ทรมานกับอาการ ?ความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจ? ซึ่งเหยื่อข่มขืนนี้มีอาการดังกล่าวรุนแรงกว่ากลุ่มทหารผ่านศึกเสียอีก ไม่มีใครคาดคิดว่า จะเกิดเหตุสลดในโรงเรียนกลางเมืองกรุง เมื่อเด็กนักเรียนวัยเพียง 4 ขวบกลายเป็นร่างไร้วิญญาณ สภาพศพสะเทือนความรู้สึกของสังคมแปรเปลี่ยนเป็นแรงกดดันให้ตำรวจต้องเร่งล่าตัวคนร้าย โฉมหน้าของฆาตกรที่กระทำต่อเด็กเป็นอย่างไร และจุดจบของเขาจะเป็นไปอย่างที่กระแสสังคมเรียกร้องหรือไม่

ในวันเกิดเหตุช่วงเวลาพักเที่ยง เด็กอนุบาลของโรงเรียนแห่งหนึ่งในเขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร จะมีรุ่นพี่ช่วยกันดูแล วันนั้น พี่ชายซึ่งเรียนโรงเรียนเดียวกัน มาส่งน้องอ้อมเข้านอนหลังอาหารกลางเหมือนเช่นเคย แต่เขามาพบน้องสาวอีกครั้งในห้องน้ำ เพียงแต่ครั้งนี้ เธอกลับอยู่ในร่างที่ปราศจากลมหายใจ คาดว่าหลังจากพี่ชายกลับจากส่งน้องอ้อมแล้ว น้องอ้อมเดินออกมาเข้าห้องน้ำที่แยกออกจากอาคารเรียนเพียงลำพัง โดยหารู้ไม่ว่า ณ ที่ตรงนั้น มีผู้ชายคนหนึ่งซ่อนตัวอยู่ คนร้ายเห็นน้องอ้อมมาคนเดียว จึงสบโอกาสกระทำสิ่งที่ใครๆ ก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นทันทีที่ข่าวน้องอ้อมปรากฏออกมา ความหดหู่และสะเทือนใจปกคลุมไปทั่ว นายบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรีในห้วงนั้น ถึงกับสั่งการให้ตำรวจหาตัวผู้กระทำผิด มาดำเนินคดีโดยเร็วที่สุด และในเวลาต่อมา เด็กผู้ชายคนหนึ่งเห็นชายคนเดิมเตร็ดเตร่อยู่บริเวณห้องน้ำ เด็กชายยืนดูพักหนึ่ง ก่อนที่ชายคนนั้นจะเตะประตูและขู่ให้เด็กกลัวจนหนีไป กระทั่งมีเด็กชายอีก 2 คนมาเข้าห้องน้ำ แต่เวลานั้น ชายผู้ต้องสงสัยได้หนีหายไปแล้ว เหลือเพียงร่างน้องอ้อมที่นอนแน่นิ่งอยู่หลังจากนั้น มีชาวบ้านเห็นชายคนนี้ในสภาพตัวเปียกปอนแถวร้านค้าใกล้โรงเรียน นับว่ามีพยานเห็นตัวผู้ต้องสงสัยเป็นระยะ จนตำรวจปะติดปะต่อเรื่องราวได้ และชื่อชายผู้ต้องสงสัยก็ปรากฏออกมา นั่นก็คือ นายพัน สายทอง ตำรวจเร่งติดตามหาชายผู้ต้องสงสัยนั้น แต่กลับไม่พบร่องรอย จนกระทั่งวันรุ่งขึ้นมีโทรศัพท์แจ้งมาถึงสน.บางพลัด นี่คือครั้งแรกที่สังคมได้เห็นโฉมหน้าของผู้ต้องสงสัยคดีฆ่าข่มขืนเด็กหญิงอายุเพียง 4 ปี และแน่นอนว่านายพัน สายทองให้การปฏิเสธทันที

การข่มขืนเป็นเรื่องที่ทั่วโลกต่างรับไม่ได้ ในบางประเทศ นักโทษคดีข่มขืนรับโทษรุนแรงถึงที่สุด เช่น ในประเทศฝรั่งเศส นักโทษข่มขืนจะถูกตัดสินจำคุก 15 ปีหรือตลอดชีวิต ในประเทศอัฟกานิสถาน นักโทษข่มขืน จะโดนตัดสินประหารชีวิตด้วยการยิงเป้าที่ศีรษะภายในเวลา 4 วันหลังตัดสิน หรือไม่ก็แขวนคอ ในประเทศซาอุดีอาระเบียนักโทษข่มขืนจะถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะ และในประเทศนอร์เวย์ ไม่ว่าจะต้องโทษข่มขืนหรือลวนลาม หรือทำอนาจารต่อผู้อื่น นักโทษจะถูกตัดสินจำคุก 4-15 ปีสถานเดียว เมื่อข่าวการจับกุมผู้ต้องหาคดีฆ่าข่มขืนเด็กอนุบาลแพร่กระจาย พัน สายทอง ก็กลายเป็นบุคคลที่สังคมเกลียดชังที่สุด พัน สายทอง สารภาพความผิดต่อตำรวจ แต่กลับปฏิเสธต่อหน้านักข่าว และเขามีอาการคล้ายคนเมาอยู่ตลอดเวลา เขาคือคนร้ายในคดีนี้จริง หรือจะเป็นแพะรับบาป? หรือตำรวจเพียงแค่ต้องการหาผู้ต้องหาเพื่อปิดคดีสะเทือนขวัญสังคม ให้เร็วที่สุดกันแน่?

ตำรวจให้พยานซึ่งเป็นเด็กชายมาชี้ตัว เด็กทุกคนต่างชี้ไปที่พัน สายทอง และยืนยันว่าชายคนนี้คือชายคนเดียวกัน กับที่พวกเขาเห็นในห้องน้ำ ไม่เพียงแต่พยานบุคคลเท่านั้น หลักฐานอีกอย่างที่มัดตัวพัน ให้ดิ้นไม่หลุด คือ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์อย่างขนเพชรและคราบอสุจิ ที่ผลพิสูจน์ ชี้ไปยังพัน สายทอง แต่เพียงผู้เดียว และคำถามที่ค้างคาใจคนในสังคมนั้น คงหนีไม่พ้นแรงจูงใจ เพราะเหตุใด พัน สายทองถึงก่อเหตุอันโหดเหี้ยม กับเด็กหญิงตัวเล็กๆ ได้ยาเสพติด อาจมีส่วนกระตุ้นให้เขาลงมือก่อเหตุ ชาวบ้านในละแวกนี้ต่างรู้ว่า พัน สายทองมีอาการคล้ายกับคนเสพยาอยู่เป็นประจำ โดยสถานที่ที่เขามักไปเสพยาอยู่บ่อยครั้ง คือ วัดที่อยู่ติดกับรั้วโรงเรียน และเมื่อตำรวจกลับไปเปิดแฟ้มคดีในอดีต กลับพบข้อมูลอันน่าตกตะลึงที่ว่า พัน สายทอง ไม่ได้ก่อคดีครั้งนี้เป็นครั้งแรก ยิ่งข้อมูลที่ว่า พัน สายทอง ถูกจำคุกมาหลายครั้งและเพิ่งได้รับพระราชทานอภัยโทษออกมา ยิ่งทำให้สังคมโกรธเกรี้ยวมากขึ้นเป็นทวีคูณ หรือเขาไม่ได้รับบทเรียนใดๆ จากในคุก และไม่เห็นว่าการได้รับการปล่อยตัวออกมานั้นคือโอกาสที่จะกลับตัวกลับใจ แต่ชายคนนี้กลับเลือกกระทำความผิดซ้ำซาก ความสูญเสียและความโศกเศร้าของครอบครัวเด็กนั้นไม่มีสิ่งใดสามารถมาเติมเต็มได้อีกหลังจากเกิดเหตุอันน่าสลดกับเด็กนักเรียนผู้เคราะห์ร้าย สังคมต่างเรียกร้องความปลอดภัยของลูกหลาน เพราะโรงเรียนสมควรจะเป็นที่ที่ปลอดภัยรองลงมาจากบ้าน ในสมัยนั้น ห้องน้ำของโรงเรียนในสังกัดกทม.หลายโรงมีลักษณะเหมือนที่เกิดเหตุ นั่นคือเป็นอาคารแยกตัวออกมาจากอาคารเรียน มีกำแพงทึบสูง ลับตาผู้คน นายพิจิตร รัตตกุล ผู้ว่าฯ กทม. จึงมีคำสั่งให้ทุบห้องน้ำลักษณะดังกล่าวทิ้งให้หมดหัวอกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ หากวันนี้เด็กหญิงตัวน้อยๆ ยังมีชีวิตอยู่ เธอคงได้มาสนุกกับเพื่อนๆ พัน สายทอง ควรได้รับโอกาสอีกครั้งหรือไม่ นี่คือสิ่งที่สังคมต่างตั้งคำถาม ในเมื่อชายผู้นี้ไม่เห็นค่าของโอกาสและชีวิต สังคมจึงเรียกร้องให้ประหารชีวิตเขา เพียง 11 วันหลังเกิดเหตุ 16 ก.ค.2539 อัยการสั่งฟ้องพัน สายทอง ต่อศาลธนบุรี สืบพยานวันเดียว และถัดมาอีกวัน 18 ก.ค.2539 พัน สายทอง ถูกศาลพิพากษาให้ประหารชีวิต แม้ว่าจำเลยจะให้การรับสารภาพ แต่นั่นเป็นเพราะจำนนต่อหลักฐาน ไม่มีเหตุให้ลดโทษ จึงให้ประหารชีวิตสถานเดียว!สำหรับครอบครัวของเด็กหญิงแล้ว พวกเขาพอใจในคำตัดสินของศาล แม้ว่าสิ่งนี้จะไม่สามารถทำให้ลูกน้อยกลับมาสู่อ้อมกอดได้ การเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ขาดบางอย่างไป คงมีเพียงแค่เวลาที่จะค่อยๆ สมานบาดแผลจากอดีตได้ ในขณะเดียวกัน อีกชีวิตหนึ่งก็ต้องเริ่มต้นใหม่เช่นกัน แต่เป็นการเริ่มต้นเดินทางไปสู่ลานประหารของนักโทษชายนามว่า ?พัน สายทอง? มีการรวบรวมข้อมูลว่าด้วยปัจจัยที่ก่อให้เกิดคดีข่มขืนในไทย พบว่ามาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากที่สุด คิดเป็น 30%รองลงมาคือ ปัญหาการยับยั้งอารมณ์ทางเพศ 23.3% และพบว่าผู้ที่ตกเป็นเหยื่อคดีข่มขืนเป็นนักเรียน-นักศึกษามากถึง 51.2 % เป็นเด็ก 6.6% และมีแนวโน้มว่าเด็กจะตกเป็นเหยื่อมากขึ้นเรื่อยๆ นาฬิกาแห่งชีวิตไร้อิสรภาพของนักโทษชาย พัน สายทอง นับถอยหลัง ภายในกำแพงอันแน่นหนาของเรือนจำบางขวาง เขาใช้สิทธิ์ตามกฎหมายอุทธรณ์คดี แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนประหารชีวิตตามศาลชั้นต้นพัน สายทอง ยังมีหวัง เขายื่นฎีกาหวังโทษไม่ถึงประหาร แต่ศาลฎีกา พิพากษาเช่นเดียวกับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ คือประหารชีวิต เมื่อคดีถึงที่สุด พัน สายทอง ไม่มีทางเลือกอื่น เขาใช้โอกาสสุดท้ายทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ก็ไม่เป็นผล แล้วคำสั่งประหารชีวิตก็ได้ถูกตีกลับมายังเรือนจำบางขวาง วาระสุดท้ายของนักโทษชายที่สังคมเรียกร้องให้ประหารชีวิตมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทยจะเป็นอย่างไรในวันนั้น พวกเขาเริ่มต้นประหาร นายสำรวย นช.คดีฆ่าพระเสียก่อน เสียงโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของนช.ชายคนนี้สร้างความหวาดกลัวให้กับนช. พัน สายทอง จนเขาเริ่มคุมสติไม่ได้ เสียงปืนดังสนั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าชีวิตของฆาตกรรายนี้ได้จบลงแล้ว

การประหารพัน สายทอง น่าจะเป็นอุทาหรณ์ให้ตระหนักถึงความศักดิ์สิทธิของกฎหมายและเกรงกลัวว่า หากใครทำเช่นนี้ ก็อาจพบจุดจบเช่นเดียวกับนักโทษชาย พัน สายทอง แต่จากวันนั้นถึงปัจจุบัน คดีข่มขืนยังมีให้เห็นอยู่เสมอ และเมื่อเกิดข่าวการข่มขืนแล้วฆ่าอันน่าสะเทือนหัวใจ มักเกิดกระแสเรียกร้องให้ประหารชีวิตนักโทษคดีข่มขืน ไม่ว่าเหยื่อจะถูกฆ่าหรือไม่ แต่ก็มีบางมุมมองที่เห็นว่าโทษประหารชีวิตไม่ใช่คำตอบที่ช่วยลดอัตราการข่มขืนหรือปัญหาอาชญากรรมอื่นๆ พร้อมกับเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามนั่นคือ การยกเลิกโทษประหาร นไม่ว่าสังคมจะถกเถียงอย่างไร พัน สายทอง ถูกประหารไปหลายปีแล้ว แต่คดีของเขากลับยังคงเป็นที่พูดถึงในโลกออนไลน์ และหนึ่งหัวข้อในการพูดถึงนั้น มีการสันนิษฐานว่า พัน สายทอง อาจไม่ใช่คนร้ายตัวจริงในคดีนี้ การปิดคดีอย่างรวดเร็ว ชวนให้ผู้คนบางส่วนตั้งข้อสงสัยว่า ตำรวจต้องการปิดคดีที่สะเทือนความรู้สึกของคนในสังคมให้เร็วที่สุด จึงจับคนที่เข้าออกคุกอยู่เป็นประจำมาเป็นแพะบางกระแสถึงกับระบุว่าคนร้ายตัวจริงคือสามเณรจากวัดที่อยู่ติดกับโรงเรียนสิ่งเดียวที่สามารถยืนยันได้อย่างเต็มปากว่าพัน สายทองไม่ใช่แพะในคดีนี้ คือ หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ที่นักวิทยาศาสตร์ สถาบันนิติเวชวิทยา ตรวจพบบนร่างของเหยื่อ แพทย์ของสถาบันนิติเวชเก็บหลักฐานชิ้นสำคัญอย่างคราบอสุจิได้จากศพเหยื่อโดยตรง และวิทยาศาสตร์สกัดดีเอ็นเอจากอสุจิของผู้ที่ข่มขืนน้องอ้อมได้ และเมื่อตำรวจได้ตัวผู้ต้องสงสัย พัน สายทอง ก็ส่งตัวเขาให้กับสถาบันนิติเวช เพื่อตรวจหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะดีเอ็นเอที่สกัดจากอสุจิบนร่างของเหยื่อ ซึ่งตรงกันกับดีเอ็นเอของพัน สายทอง น่าจะตอบข้อสันนิษฐานที่ว่าพัน สายทอง เป็นแพะหรือไม่ ผ่านมาถึงวันนี้ คดีพัน สายทอง ถือเป็นกรณีศึกษา ที่สะท้อนถึงทัศนคติของคนในสังคมต่อการข่มขืนได้อย่างชัดเจน และเป็นกรณีที่การบังคับใช้กฎหมายเข้มข้นที่สุดคดีหนึ่ง แต่จนถึงวันนี้ คดีข่มขืน ก็ยังปรากฏเป็นข่าวให้สังคมสะเทือนใจแทบไม่ต่างจากคดีพัน สายทอง เมื่อปี 2539 และในอนาคต จะมีอีกกี่ชีวิต ที่ต้องสังเวยให้กับความต้องการเพียงชั่ววูบที่ไม่สามารถควบคุมได้ของคนกลุ่มหนึ่ง กลุ่มคนผู้นำพาฝันร้าย ที่ใครๆ ก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับคนใกล้ตัว



บทความแนะนำ


ผู้หญิงน้ำมะเขือเทศภาพยนตร์ความสวยความงามความเชื่อดูดวงInsidious:Chapterทรงผมทรงผมสั้นทรงผมประบ่าทรงผมถักเปียดูดวงดวงความรัก