เด็ก 8 ขวบหาย กลายเป็นศพขึ้นอืดซุกใต้บ้านร้าง คาดฝีมือลุง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 17.50 (8 มี.ค.) นางเบญจมาภรณ์ อายุ 33 ปี มารดาของ น้องโอ๊ค อายุ 8 ขวบ ชาวบ้านหมู่ 2 บ้านโพนทัน ตำบลโพนทัน อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร พร้อมด้วยชาวบ้านได้ช่วยกันออกตามหาน้องโอ๊ค ตามทุ่งนาและตามละแวกหมู่บ้านใกล้เคียง โดยเฉพาะตามสระน้ำที่อยู่บริเวณใกล้เคียงหมู่บ้าน

หลังจากที่น้องโอ๊คได้หายจากบ้านไปโดยไม่ทราบสาเหตุ ตั้งแต่เมื่อช่วงเย็นของวันเสาร์ที่ 4 มี.ค.ที่ผ่านมา และทางผู้ปกครองเด็กได้เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.คำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร และแจ้งคนหายไว้กับมูลนิธิกระจกเงาเพื่อให้ช่วยตามหาอีกทางหนึ่ง

จนกระทั่งเวลาผ่านไป 4 วัน และเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมาจึงมีชาวบ้านที่ช่วยกันออกตามหา และพบน้องโอ๊คกลายเป็นศพขึ้นอืดซุกอยู่ใต้บ้านร้างไม่มีเลขที่พื้นที่หมู่ 2 บ้านโพนทัน ตำบลโพนทัน อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านพักของเด็กประมาณ 100 เมตร

คาดว่าน่าจะถูกฆาตกรรมมาจากที่อื่น แล้วนำศพไปซ่อนเอาไว้ใต้ถุนบ้านร้างดังกล่าว ซึ่งจะต้องรอให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานและแพทย์เวรเข้าตรวจสอบ และชันสูตรพลิกศพให้ละเอียดอีกครั้งว่าเด็กเสียชีวิตจากอาวุธชนิดใดกันแน่

จากการสอบถาม นางเบญจมาภรณ์ มารดาของเด็กที่เสียชีวิต บอกว่า ตนได้เลิกร้างกับพ่อของเด็กเมื่อหลายปีก่อนโดยตนได้ไปมีสามีใหม่ และไปพักอาศัยอยู่กับสามีใหม่ โดยได้นำเด็กที่เสียชีวิตไปให้ผู้เป็นตาและน้าอุปการะเลี้ยงดูเรื่อยมา และเด็กเป็นคนขยันช่วยตาทำงานบ้านทุกอย่าง และทุกเย็นเด็กจะออกไปให้อาหารสุกรที่ตาเลี้ยงเอาไว้ที่ทุ่งนาเป็นประจำทุกวัน

และที่คอกสุกรจะมีนายวิลาส ผู้เป็นลุง ซึ่งมีพฤติการณ์สูดดมสารระเหยอยู่เป็นประจำพักอาศัยอยู่ จนกระทั่งช่วงเย็นวันเสาร์ที่ 4 มี.ค. ที่ผ่านมา เด็กก็หายตัวออกจากบ้านไป ซึ่งญาติๆ เข้าใจว่าเด็กออกไปให้อาหารสุกรเหมือนปกติทุกวัน

จนกระทั่งดึกไม่เห็นกลับเข้าบ้าน จึงช่วยกันออกตามหาแต่ก็ไม่พบตัว แต่ที่คอกสุกรพบเห็นแต่ผู้เป็นลุงมีอาการมึนเมาสารระเหยพูดจาไม่รู้เรื่อง วันต่อมาจึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเอาไว้ และร่วมกับชาวบ้านได้ช่วยกันออกตามหาทุกวันจนมาพบกลายเป็นศพในที่สุด

เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวนายวิลาส ผู้เป็นลุง เอาไว้ เนื่องจากเป็นผู้ต้องสงสัยที่คาดว่าน่าจะเป็นผู้ลงมือฆ่าเด็กในครั้งนี้ แต่นายวิลาสยังให้การปฏิเสธ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้เรียกตัวญาติๆ และผู้ใกล้ชิดทั้งหมดเข้าให้ปากคำเพื่อจะได้หาตัวผู้ก่อเหตุที่แท้จริงในครั้งนี้ไปดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป