เหี้ยมโหดสุดอำมหิต! ลุงฆ่าหลาน 6 ขวบ หลังขืนใจไม่สำเร็จ โยนร่างทิ้งแม่น้ำ

ตำรวจตะครุบตัว ลุงใจเหี้ยมฆ่าหลานสาวแท้ๆ ของตัวเอง อ้างมึนเมา-ข่มขืนแต่ไม่สำเร็จ บีบคอตายแต่กลัวผิด จับร่างโยนถ่วงทิ้งแม่น้ำ

(15 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่บ้านดอนแดง หมู่ที่ 5 ต.ท่าก้อน อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร นายวิทยา จันทร์ฉลอง ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร พร้อมด้วย พล.ต.สมเกียรติ เกิดจงรักษ์ ได้เดินทางไปอำนวยการการทำแผนประกอบคำรับสารภาพของ นายสมร อายุ 42 ปี ผู้ต้องหาฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา ซึ่งเป็นผู้ลงมือฆ่า เด็กหญิงบี (นามสมมติ) อายุ 6 ขวบ ซึ่งเป็นหลานในใส้ของตัวเอง

เหตุดังกล่าวเกิดที่ท้ายหมู่บ้าน ประมาณ 500 เมตรริมฝั่งลำน้ำสงคราม โดยเจ้าหน้าที่ได้นำตัวผู้ก่อเหตุไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ มีการประสานงานเจ้าหน้าที่กู้ภัยสว่างแดนดิน จุดอากาศอำนวย และ กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำการคุ้มกันผู้ก่อเหตุ หวั่นว่าจะถูกมีเหตุรุมประชาทัณฑ์ กระทั่งทำแผนประกอบคำรับสารภาพเรียบร้อยด้วยดี จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.โพนแพง เพื่อดำเนินคดีตามกฏหมาย

กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจาก เมื่อวานนี้ (14 เม.ย.) แม่ของเด็กหญิงบี ได้ออกตามหาลูกสาว หลังจากที่เมื่อคืนวันที่ 13 เมษายน ได้พาลูกสาวไปดูหมอลำที่วัดดอนแดง แต่ผู้เป็นแม่ได้ขอตัวกลับก่อน พร้อมกับฝากลูกไว้กับนายสมร ซึ่งเป็นพี่ชายของสามี ปรากฏว่าช่วงเช้าวันต่อมาลูกสาวของตนไม่กลับบ้าน จึงไปสอบถาม นายสมรก็แจ้งว่าได้พากลับไปส่งที่บ้านแล้ว

หลังจากนั้นจึงทำการแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและภู้ภัยสว่างแดนดิน จุดอากาศอำนวย ทำการระดมกำลังออกตามหาทั่วบริเวณหมู่บ้าน ต่อมาเห็นชุดเสื้อผ้าวางอยู่ใกล้ลำน้ำสงคราม แต่ไม่เห็นคนจึงนำกำลังลงน้ำงมาหา ใช้เวลานาน 1 ชั่วโมง จึงพบร่างเด็กหญิงเคราะห์ร้ายเสียชีวิตจมในแม่น้ำสงครามห่างจากฝั่ง 2 เมตร สภาพเปือยเปล่า จึงนำร่างส่งไปชันสูตรที่โรงพยาบาลอากาศอำนวย

ในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่พบว่าเป็นเหตุฆาตกรรมอำพราง จึงได้นำกำลังออกตามล่าผู้กระทำผิด โดยเป้าหมายต้องผู้เป็นลุงของเด็กหญิงที่เสียชีวิต เนื่องจากอยู่ด้วยกันเป็นคนสุดท้ายในคืนเกิดเหตุ นายสมร ได้ให้การปฏิเสธ แต่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบเห็นในร่างกายยังมีคราบโคลนเลอะอยู่ จึงเค้นสอบถามจนรับสารภาพ

นายสมร เปิดเผยว่า เป็นผู้ลงมือก่อเหตุเอง เนื่องจากมีการมึนเมาจากการดื่มกินที่งานหมอลำ โดยพยายามข่มขืนหลาน แต่เด็กหญิงขัดขืน จึงได้ทำการบีบคอจนเสียชีวิต แต่ก็กลัวความผิดจึงนำร่างหลานสาวไปโยนลงทิ้งแม่น้ำสงครามเพื่ออำพรางคดี โดยคิดว่ากระแสจะพัดร่างลงสู่น้ำโขง แต่ติดเวิ้งน้ำใกล้ที่เกิดเหตุ จนเจ้าห้นาที่มาพบศพดังกล่าว