รู้จักวิธีอ่าน ฉลากโภชนาการ อีกหนึ่งตัวช่วย ควบคุมปริมาณสารอาหารได้
อาหาร เป็นสิ่งจำเป็นที่เราต้องบริโภคเข้าไปทุกวัน
เพื่อนำไปเสริมสร้างประโยชน์และพลังงานให้แก่ร่างกาย
และในยุคที่คนหันมาดูแลเรื่องสุขภาพแบบนี้ การอ่าน ฉลากโภชนาการ
บนผลิตภัณฑ์หรืออาหารสำเร็จรูปต่างๆ ก็มีความสำคัญเช่นกัน
เพราะมันจะทำให้เราได้รู้ว่า หากทานเข้าไปแล้ว
เราจะได้รับสารอาหารชนิดได้บ้าง ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมอาหาร
หรือแม้กระทั่งผู้ป่วยที่เป็นโรคติดต่อไม่เรื้อรัง NCDsทั้งหลายที่จำเป็นต้องควบคุมปริมาณสารอาหารด้วย เช่นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคมะเร็ง โรคหัวใจและโรคอ้วนลงพุง เป็นต้นฉลากโภชนาการ คือ
ฉลากอาหารที่มีการแสดงข้อมูลโภชนาการ
ซึ่งระบุชนิดและปริมาณสารอาหารของอาหารนั้นในกรอบสี่เหลี่ยมเรียกว่า
?กรอบข้อมูลโภชนาการ? ซึ่งมีอยู่ 2 รูปแบบ ได้แก่ แบบเต็มและแบบย่อ1.ฉลากโภชนาการแบบเต็ม เป็นฉลากที่
แสดงชนิดและปริมาณสารอาหารที่สำคัญควรทราบ 15 รายการ
สำหรับฉลากที่มีความสูงจำกัด
สามารถแสดงฉลากโภชนาการเต็มรูปแบบในลักษณะแบบแนวนอนหรือแบบขวางตามที่
ประกาศกระทรวงสาธารณสุขกำหนดไว้2.ฉลากโภชนาการแบบย่อ
ใช้ในกรณีที่สารอาหารตั้งแต่ 8 รายการ จากจำนวนที่กำหนดไว้ 15 รายการนั้น
มีปริมาณน้อยมากจนถือว่าเป็นศูนย์
จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องแสดงให้เต็มรูปแบบปริมาณสูงสุดที่บริโภคได้ต่อวัน
สำหรับคนไทยอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป
ในหนึ่งวันไม่ควรได้รับพลังงาน น้ำตาล ไขมัน และโซเดียม
มากกว่าปริมาณสูงสุดที่แนะนำ ดังนี้ พลังงานไม่ควรเกิน 2,000 กิโลแคลอรี
น้ำตาลไม่ควรเกิน 65 กรัม ไขมันไม่ควรเกิน 65 กรัม โซเดียมไม่ควรเกิน 2,400
มิลลิกรัมวิธีการอ่านฉลากโภชนาการ
1. ดูปริมาณหนึ่งหน่วยบริโภค เป็นปริมาณการกินต่อครั้งที่แนะนำให้ผู้บริโภครับประทาน
2. ดูจำนวนหน่วยบริโภคต่อภาชนะบรรจุ เป็นจำนวนที่บอกว่าถ้ากินครั้งละหนึ่งหน่วยบริโภคจะแบ่งกินได้กี่ครั้ง
3. ดูคุณค่าทางโภชนาการต่อหนึ่งหน่วยบริโภค ว่าจะได้พลังงานเท่าใด สารอาหารอะไรบ้าง ในปริมาณเท่าใด
4. ดูร้อยละของปริมาณที่แนะนำต่อวัน
ฉลากโภชนาการแบบจีดีเอ (Guidline Daily Amounts : GDA)
หรือฉลากหวานมันเค็ม โดยเป็นการ
แสดงปริมาณสารอาหารได้แก่ พลังงาน(กิโลแคลอรี) น้ำตาล(กรัม) ไขมัน(กรัม)
และโซเดียม(มิลลิกรัม) ต่อหนึ่งหน่วยบรรจุภัณฑ์ (ถุง ซอง กล่อง)
โดยจะแสดงฉลากด้านหน้าบรรจุภัณฑ์
โดยมีการบังคับการแสดงฉลากโภชนาการแบบจีดีเอ ในกลุ่มอาหาร 5 กลุ่ม คือ
กลุ่มอาหารขนมขบเคี้ยว กลุ่มช็อกโกแลต กลุ่มผลิตภัณฑ์ขนมอบ
กลุ่มอาหารกึ่งสำเร็จรูป และกลุ่มอาหารมื้อหลักแช่เย็นแช่แข็งโดยผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบ
คุณค่าทางโภชนาการของผลิตภัณฑ์ได้ทันทีจากตัวเลขด้านหน้า
1.หากกำลังควบคุมน้ำหนัก ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณพลังงานน้อย
2.หากกังวลเรื่องน้ำตาล หรือเป็นโรคเบาหวานควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณน้ำตาลน้อย
3.หากกังวลเรื่องไขมัน หรือมีภาวะไขมันในเลือดสูง อ้วน ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณไขมันน้อย
4.หากกังวลเรื่องโซเดียม หรือมีภาวะความดันโลหิตสูง ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณโซเดียมน้อย
นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีการจัดทำตราสัญลักษณ์
?ทางเลือกสุขภาพ? (Healthier Choice) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง
มูลนิธิส่งเสริมโภชนาการ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
และสมาคมนิสิตเก่าคณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์(สวก.)
โดยได้รับการสนับสนุนจาก สสส.
เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์
ที่มีคุณสมบัติทางโภชนาการอย่างเหมาะสม
และเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพได้ง่ายขึ้นอย่างไรก็ตาม การรู้จักอ่านฉลากโภชนาการก่อนเลือกซื้ออาหารทุกครั้ง
ย่อมทำให้เราควบคุมปริมาณสารอาหารที่จะไดรับในแต่ละวันได้
และถ้าอยากห่างไกลจากโรค NCDs ก็ควรลดบริโภคอาหารที่มีพลังงานสูง
อาหารรสจัดอย่าง หวานจัด มันจัด เค็มจัด
เพียงเท่านี้ก็จะสามารถลดความเสี่ยงต่อโรคที่เกิดจากพฤติกรรมการกินแล้วล่ะ
ค่ะที่มา :www.thaihealth.or.th