สรงน้ำพระธาตุเมืองสร้อย เมืองร้างใต้บาดาลทะเลสาบแม่ปิง
นุ บางบ่อ...เรื่อง / ภาพ
ท่ามกลางอากาศร้อนระอุของวันต้นเดือนเมษายน 2559
ทุกอณูบนผืนแผ่นดินไทยช่วงนี้ไม่ว่าจะบ่ายหน้าไปทางไหนดูเหมือนแสงแดดจะแผด
เผาไปทั่ว อากาศร้อนไม่ค่อยมีผู้ใดปรารถนานัก
มันช่างเป็นช่วงเดือนที่น่ากลัวและเป็นอันตรายต่อสุขภาพจิตใจเหลือเกินหลายคนที่คุ้นเคยชักชวนผมให้ร่วมเดินทางไปคลายร้อนด้วยการไปรับลมทะเลตาม
ชายหาดต่างๆ ทางชายฝั่งตะวันออก
แต่ผมคิดว่านั่นคือการไปรับลมลมร้อนเสียมากกว่า
ผมกลับขอเลือกไปคลายร้อนยังทะเลสาบน้ำจืด เช่น ตามเขื่อนกักเก็บน้ำต่างๆ
การได้ลงแช่น้ำจืดท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพรที่เงียบสงบน่าจะเป็นทางออกที่ดี
กว่า
ประกอบกับมีสหายเก่าแจ้งข่าวเรื่องการเดินทางไปยังดินแดนใต้บาดาลทะเลสาบแม่
น้ำปิง ที่ในหนึ่งปีเราจะสามารถเดินทางไปยังที่แห่งนี้ได้เพียงครั้งเดียว
เนื่องจากในช่วงฤดูแล้ง
น้ำปิงจะลดลงต่ำมากและเมืองใต้บาดาลที่สาบสูญไปจะผุดขึ้นมาให้เราได้พบเห็น
อย่างน่าอัศจรรย์ นั่นคือ ?เมืองสร้อย เมืองร้างใต้บาดาลทะเลสาบแม่ปิง?
การเดินทางของผมเริ่มขึ้นในเวลากลางดึกของวันที่ 7 เมษายน 2559
ผมใช้เวลาในการขับรถ 5 ชั่วโมง ก็ได้มาถึงเขื่อนภูมิพล จ.ตาก
จากนั้นเช้าตรู่ของวันที่ 8 เมษายน 2559
ผมต้องจอดรถไว้ที่ลานจอดของเขื่อนภูมิพลแล้วเดินทางต่อด้วยแพลากขนาดใหญ่
ทื่ชื่อว่า แพพรจามเทวี
เพื่อเดินทางต่อไปยังด้านเหนือเขื่อนเป็นระยะทางประมาณ 70
กิโลเมตร...มันเป็นระยะทางที่ไกลมากทีเดียวสำหรับการเดินทางไปบนผิวน้ำที่
เงียบสงบ แต่ทว่าไม่มีความน่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย
สายลมพัดเย็นเข้ามาจากทุกทิศทาง
ด้านข้างมีธรรมชาติของขุนเขาปกคลุมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่อันมีสายน้ำปิงไหลคด
เคี้ยวไปตามซอกซอนตามทิศตามทางธรรมชาติของมัน
ระหว่างช่วงเวลาที่กำลังเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์นั้น
ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับน้องมิ้นท์ผู้เป็นลูกสาวของท่านเจ้าของแพพรจามเทวี
แพที่เปรียบเสมือนสะพานบุญที่ยิ่งใหญ่ในวันนี้ น้องมิ้นท์เล่าให้ฟังว่า
ปกติแล้วแพพรจามเทวีนั้นให้บริการแก่นักท่องเที่ยวทั่วไปโดยจะพานักท่อง
เที่ยวไปชื่นชมธรรมชาติเหนือเขื่อนภูมิพล
ในช่วงฤดูที่เขื่อนแห่งนี้มีปริมาณน้ำมากก็สามารถพาขึ้นไปถึง อ.ดอยเต่า จ.เชียงใหม่
แต่ถ้าหากเป็นช่วงฤดูแล้งที่มีปริมาณน้ำน้อยอย่างช่วงนี้
แพจะสามารถเดินทางมาถึงได้เพียงบริเวณเมืองสร้อย
อันเป็นจุดหมายปลายทางที่ผมกำลังจะเดินทางไปในทริปนี้น้องมิ้นท์เล่าต่อไปว่า คุณแม่ของเธอมีความศรัทธาต่อวัดพระธาตุแก่งสร้อยมาก ในทุกๆ ปีช่วงก่อนถึงวันสงกรานต์
ที่วัดพระธาตุแก่งสร้อยจะมีพิธีสรงน้ำพระธาตุ
และคุณแม่ของเธอจะเป็นหัวเรี่ยวแรงสำคัญในการรวบรวมปัจจัยและผู้คนที่มีความ
ศรัทธาต่อองค์พระธาตุให้ร่วมเดินทางไปสรงน้ำพระธาตุร่วมกัน
ดังเช่นปีนี้คุณแม่ของเธอได้นำผ้าพระบฎสีเหลืองอร่ามปักห้อยด้วยภู่มาลัย
อันประณีตบรรจงติดไว้ด้วยความศรัทธาแรงกล้า เพื่อนำไปห่มองค์พระธาตุสีทอง
เป็นเครื่องสักการะแสดงออกถึงความเลื่อมใสในพุทธศาสนาที่สืบทอดกันมาเนิ่น
นานนับพันปี...สำหรับผมแล้วคุณแม่ของเธอนั้นเปรียบเสมือนสะพานบุญ
ที่ช่วยนำพาผู้คนบนแพกว่าร้อยชีวิตนี้ไปสู่ดินแดนพุทธภูมิอันเร้นลับ
ที่ถูกปกปิดไว้ด้วยผืนน้ำผืนป่าในดินแดนแห่งแคว้นล้านนาบนแพขนาดใหญ่ 3 หลังผูกติดกัน ถูกลากจูงด้วยเรือยนต์
ไหลเอื่อยทวนกระแสน้ำปิงขึ้นไปทางทิศเหนือ
ราวกับการเดินทางไปสู่ดินแดนลึกลับ หลายช่วงเวลาขณะที่แพเคลื่อนหน้าไป
ผมแลเห็นเหลี่ยมเขาตรงหน้าปิดกั้นคล้ายกับประตูที่บดบังขวางไว้
แต่เมื่อเราเข้าไปใกล้มากขึ้นเหลี่ยมเขาก็เบี่ยงเบนเปิดออกให้เราได้เลี้ยว
เลาะไปทางขวาบ้างซ้ายบ้าง
พอจะคิดได้ว่า...?ธรรมชาตินั้นไม่ได้ปิดกั้นใครเลย
หากว่าเราได้เข้าไปสัมผัสแล้ว เราก็จะพบทางออกที่สวยงามเสมอ?
แต่ถ้าหากว่าเราเกิดท้อแท้ถอยหลังกลับเสียก่อน
คิดว่าหนทางข้างหน้าไร้ซึ่งทางออก เราก็คงต้องพ่ายแพ้อยู่ร่ำไป...
7 ชั่วโมง บนสายน้ำปิงผ่านไปอย่างเพลิดเพลินจนผมลืมเวลา
หลายคนบนแพเริ่มส่งเสียงฮือฮาระคนความตื่นเต้น
บ้างชี้มือไปเบื้องหน้าอันมีทิวทัศน์ไม่คุ้นตา
ภาพแห่งองค์พระธาตุสีทองเหลืองอร่ามงดงามประดิษฐานลอยเด่นอยู่บนเนินเขา
ใกล้กันบนเนินเขาอีกลูกหนึ่งมีพระพุทธรูปที่ผุดพ้นผิวน้ำแลเห็นเป็นโบราณ
วัตถุจากเมืองใต้บาดาล
ไกลออกไปเห็นพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ประดิษฐานบนฉากหลังแห่งขุนเขา
แทบไม่น่าเชื่อว่าบริเวณนี้ที่รถยนต์ไม่สามารถเข้าถึงได้
จะมีสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่งดงามน่ามหัศจรรย์
หากแต่เกิดขึ้นจากแรงศรัทธาอย่างแรงกล้าจึงจะสามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ไว้
ให้คนรุ่นต่อไปได้ชื่นชม เพื่อทะนุบำรุงพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่สืบต่อไปตำนานพระธาตุแก่งสร้อย
มีตำนานเล่าสืบต่อกันมาว่า ณ ดินแดนแห่งนี้เมื่อสองร้อยปีก่อน
เคยเป็นเมืองขนาดใหญ่ชื่อว่าเมืองศรีอุดม มีผู้คนอาศัยอยู่กันอย่างมากมาย
ด้วยเพราะทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์
ชาวเมืองมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก ซึ่งพิจารณาได้จากหลักฐานต่างๆ
ที่บ่งบอกว่าในบริเวณนี้มีวัดเป็นจำนวนมากถึง 99 วัด
โดยมีวัดพระธาตุแก่งสร้อยเป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดและเป็นศูนย์กลางของเมือง
วันเวลาผ่านไปเนิ่นนานจนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
เกิดสงครามการสู้รบกันระหว่างเมืองใหญ่
ผู้คนในเมืองสร้อยแห่งแคว้นล้านนาถูกกวาดต้อนลงไปยังภาคกลางเพื่อเสริมกำลัง
ให้แก่กรุงศรีอยุธยา
เมืองสร้อยที่เคยรุ่งเรืองสว่างไสวได้กลับกลายเป็นเมืองเล็กเกือบจะรกร้าง
ผู้คน จนมาถึงช่วงเวลาแห่งการสร้างเขื่อน
ผู้คนในบริเวณนี้ถูกอพยพโยกย้ายไปอยู่ยังที่ได้จัดไว้ให้ทดแทน
เมื่อเขื่อนถูกสร้างเสร็จสายน้ำปิงด้านเหนือเขื่อนได้สูงเอ่อขึ้นท่วมทุก
สิ่งอย่างให้จมอยู่ใต้บาดาลไร้ผู้คนพบเห็นอีกต่อไป
เมืองสร้อยจึงกลายเป็นเมืองพุทธภูมิที่รุ่งโรจน์อยู่ใต้ทะเลสาบแม่น้ำปิง
เหลือไว้เพียงเรื่องราวเล่าขานจากคนรุ่นสู่รุ่นรอถึงวันลืมเลือนไปในที่สุด
ประมาณปี พ.ศ. 2467 ครูบาเจ้าศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทย
ได้เดินทางมาบูรณะวัดพระธาตุแก่งสร้อย
ให้กลับฟื้นคืนความสว่างขึ้นมาอีกครั้ง
เปรียบเสมือนแสงเทียนสว่างนำทางผู้คนจากทั่วสารทิศให้เดินทางมาสู่เมืองร้าง
แล้วร่วมกันบูรณปฏิสังขรณ์
ให้วัดพระธาตุแก่งสร้อยได้ฟื้นคืนกลับมาเป็นอารามล้ำค่าเพื่อเชิดชูสืบทอด
พุทธศาสนา เป็นที่พึ่งให้แก่ผู้สัญจรผ่านไปมาทางสายน้ำปิง
จากความศรัทธาของพุทธศาสนิกชนการบูรณะในครั้งนั้นจึงสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
และต่อมาครูบาเจ้าชัยยะวงษาพัฒนา
นักบุญผู้สืบสายครูบาเจ้าศรีวิชัยได้สืบทอดเจตนาผู้เป็นอาจารย์
บูรณะวัดพระธาตุแก่งสร้อยขึ้นอีกครั้งจนมีสภาพที่ดีขึ้นดังที่เห็นใน
ปัจจุบันสรงน้ำพระธาตุ , ถวายผ้าพระบฏ
เราเองผู้เป็นพุทธศาสนิกชน
การร่วมบุญเพื่อดำรงไว้ซึ่งประเพณีดีงามและเป็นการแสดงออกถึงความเลื่อมใส
ศรัทธาต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในหนึ่งปีอาจมีเพียงหนึ่งวันที่เราจะได้ถวายน้ำสรงองค์ธาตุ
เพื่อสร้างกุศลผลบุญแก่ตนเองให้ความสุขร่มเย็นดังน้ำที่เราได้บรรจงสรงองค์
ท่าน ถือเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตที่น่าพึงกระทำ
วันที่ 8 เมษายน 2559 ในช่วงเวลาใกล้ค่ำ
แพพรจามเทวีจอดเทียบท่าหน้าวัดพระธาตุแก่งสร้อย
ผู้คนในแพต่างเคลื่อนย้ายขึ้นบนฝั่งของเมืองใต้บาดาล
หลายคนช่วยหอบหิ้วเครื่องไทยธรรมบ้างช่วยแบกขนข้าวสารอาหาร
และหลายคนช่วยลำเลียงผ้าพระบฏที่ปักร้อยภู่มาลัยสวยงามแพรวพรรณ
ขึ้นไปตั้งเป็นริ้วขบวนชวนให้น่าศรัทธา นำหน้าด้วยตุงทองฆ้องกลอง
เสียงโห่ร้องดังกึกก้องไปทั่วบริเวณเป็นการประกาศให้ดินแดนแคว้นล้านนารับ
รู้ว่า
วันนี้เหล่ามวลประชาบากบั่นดั้นด้นมาเพื่อทำนุสืบต่อพระพุทธศาสนาให้แรงกล้า
ต่อไปในช่วงเวลาพลบค่ำ
ท่ามกลางความเงียบสงบสายลมเย็นพัดตุงทองให้ปลิวสะบัดพัดพริ้วไสว
ผ้าพระบฏถูกนำไปห่มองค์พระธาตุสีทองอย่างเรียบร้อยอำพัน
หญิงชราผู้ร่วมบุญบางคนถึงกับน้ำตาเอ่อล้นและไหลรินไปตามริ้วรอยลงปริ่ม
แก้ม นั่นคือน้ำตาแห่งความปิติดีใจ
โดยที่แกปล่อยให้น้ำตาของแกไหลลงสู่พื้นพระธาตุ
ซึ่งอีกไม่นานน้ำตาหยดนั้นก็จะถูกผสานหลอมรวมไปกับสายน้ำปิงที่ปกปิดพื้นที่
แห่งนี้ให้อยู่ใต้บาดาล เป็นเพียงตำนานเล่าขานสืบต่อไป สนันสนุนเนื้อหา โดยนุ บางบ่อ