ขี่อูฐในทะเลทราย First Time อินเดีย
เรื่อง/ภาพ: บดินทร์ เทพรัตน์
หลังจากที่ผมเคยผ่านประสบการณ์เที่ยวเมืองปีนัง, เสียมเรียบ,
เวียงจันทน์, สิงคโปร์ ในช่วงหน้าร้อน
ซึ่งแดดแผดเผาในระดับที่ถ้าไฟจะไหม้ลุกท่วมตัวก็ไม่แปลกใจ
ทำให้ผมตั้งปณิธานว่าจะไม่เที่ยวเมืองร้อนๆ ในช่วงหน้าร้อนอีกแล้ว
(โว้ย!!!)ตัดภาพมาหน้าร้อนปีนี้ สถานที่ที่ข้าพเจ้าได้ไปเที่ยวก็คือ ทะเลทราย (ร้องไห้แป๊บ..)
จุดหมายปลายทางของผมคือ การได้มาขี่อูฐที่ทะเลทรายธาร์ เมืองจัยซัลแมร์ (Jaisalmer) แคว้นราชาสถาน ประเทศอินเดีย ซึ่งผมอยากมาตั้งแต่ตอนที่ได้อ่านหนังสือ ?ดื่มทะเลสาบ อาบทะเลทราย? ของบินหลา สันกาลาคีรีซึ่งเขียนถึงเมืองนี้
ส่วนเหตุผลที่เลือกมาช่วงหน้าร้อนก็คือค่าตั๋วเครื่องบินและโรงแรมถูกมากด้วยความเป็นช่วงโลว์ซีซั่นแบบสุดขีด
(Lonely planet
เขียนไว้ว่าการเที่ยวจัยซาลแมร์ในช่วงหน้าร้อนถือเป็นการกระทำที่ crazy)
อีกทั้งมิตรสหาย 2
คนของผมที่กำลังแบกเป้เที่ยวอินเดียหลายเดือนก็มีโปรแกรมที่จะมาเมืองดังกล่าวช่วงนั้นพอดี
พอมีคนเที่ยวด้วยก็เลยต้องรีบคว้าโอกาสไว้
เพราะรู้ดีว่าอินเดียเป็นประเทศที่ชวนเพื่อนแบกเป้เที่ยวด้วยยากขนาดไหน
จะเที่ยวคนเดียวก็จะรู้สึกว่าเลเวลตัวเองยังไม่แข็งแกร่งพอจัยซัลแมร์มีความน่าสนใจตรงไหน? ที่เห็นได้ชัดมีอยู่สามข้อ คือ
1.อาคารบ้านเรือนส่วนใหญ่ในเมืองถูกสร้างขึ้นด้วยหินทรายสีเหลืองทอง ทำให้เวลามองจากระยะไกลเราจะเห็นทั้งเมืองเป็นสีทองอร่ามจนได้รับฉายาว่า Golden City
2.ป้อมปราการยักษ์สีทองอายุ 900 ปีอย่าง Jaisalmer Fort
ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ความคัลท์คือในป้อมมีชาวบ้านอาศัยอยู่มากมาย
(ต่างจากป้อมอื่นๆ
ในอินเดียที่ถือเป็นโบราณสถานและมีการสงวนพื้นที่ไม่ให้ประชาชนขึ้นมาอยู่อาศัย)
เรียกได้ว่าตากผ้าขายของกันแบบไม่แคร์ความเป็นมรดกโลกกันเลย
3.ทะเลทรายขนาดใหญ่
สำหรับผู้ที่ฝันอยากขี่อูฐหรือนอนในกระโจมแต่ไม่มีเงินถุงเงินถังไปที่อัฟริกาหรืออาหรับ
ที่นี่ก็ถือเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจแต่การเดินทางมาเมืองนี้ก็ใช่ว่าจะสบาย
เนื่องจากมันอยู่ติดชายขอทางซ้ายของอินเดีย ห่างจากปากีสถานไม่ถึง 100
กิโลเมตร และไม่ใช่เมืองทางผ่าน คนที่มาต้องตั้งใจมาจริงๆ
สำหรับการเดินทางมีทั้งรถไฟและรถบัส
ส่วนเครื่องบินนั้นถึงในเมืองจะมีสนามบินแต่ก็ปิดใช้งาน
เนื่องจากความขัดแย้งเรื่องชายแดนระหว่างอินเดีย ? ปากีสถานที่ยังไม่จบสิ้นเราเลือกที่จะไปจัยซัลแมร์จากเมืองจ๊อดปูร์ (Jodhpur
หรือคนไทยชอบเรียกกันว่าโยธปุระ) ด้วยรถไฟรอบตี 5
เพื่อจะไปถึงที่หมายก่อนเที่ยง จะได้มีเวลาเที่ยวทะเลทรายตลอดช่วงบ่าย
แผนการอันเฟอร์เฟ็คต์ของเรามีช่องโหว่อย่างหนึ่งคือ
มันเป็นเวลาที่เช้าเกินกว่าจะตื่นไหว
ยิ่งคืนก่อนหน้านั้นเราซัดเบียร์ร่วมกับเพื่อนใหม่ชาวญี่ปุ่นจนเมามาย
ทำให้พอถึงเวลาที่ควรจะตื่นเราก็เลยกดปิดนาฬิกาปลุกในมือถือของเราอย่างไม่ใยดี
(พร้อมเสียงด่าขึ้นมาลอยๆ
ของมิตรสหายว่าใครแมร่งเป็นต้นคิดในการซื้อตั๋วรอบตีห้าวะ)เราจึงต้องเปลี่ยนแผนมานั่งรถบัสท้องถิ่นช่วงสายๆ แทน
ซึ่งทำให้เราได้พบกับประสบการณ์การผจญภัยแบบเต็มอิ่ม
เพราะรถบัสนั้นสภาพเก่า ไม่มีแอร์ เบาะเล็กแคบ
ทุกที่นั่งอัดแน่นไปด้วยคนท้องถิ่นและข้าวของพะรุงพะรัง จอดแวะบ่อย
แถมสภาพอากาศภายนอกก็เป็นทะเลทรายที่ร้อนสุดขีดและเต็มไปด้วยฝุ่น
ผลคือ ตอนที่รถพาเราไปถึงที่หมายตอน 3 โมง
พวกเราหิวและเหนื่อยจนอยากเข้าไปนอนในห้องแอร์แบบกูไม่สนใจอะไรแล้ว
แต่พอเช็คอินปุ๊บพนักงานก็ถามเราว่า สนใจไปทะเลทรายไหม ยังทัน?ต้องขึ้นรถไปตอนไหนครับ? พวกเราถาม
?ตอนนี้เลย เก็บกระเป๋าในห้องแล้วขึ้นรถทันที? พนักงานตอบ
จริงอยู่ที่ว่าการขี่อูฐทะเลทรายคือจุดหมายที่เราต้องการ
แต่การที่อยู่ดีๆ ก็ต้องนั่งรถไปในทันทีโดยไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจ
และไม่ทันได้อาบน้ำกินข้าวเลยนั้น ก็ดูเป็นการกระทำที่ระห่ำไปหน่อย
ใครมันจะบ้าไปวะตัดภาพเป็นอีก 5 นาทีต่อมา
เราก็ได้นั่งอยู่บนรถที่ซิ่งไปทะเลทรายอย่างรวดเร็วเพื่อให้เรากลับเข้าเมืองทันก่อนมืด
(ความบ้านี่มันไม่เข้าใครออกใครจริงๆ)ทัวร์ทะเลทรายหรือ Desert Safari Tour มีแพ็กเกจให้เลือกมากมาย
ตั้งแต่ครึ่งวันไปจนถึง 3 วัน (พี่กะจะขี่อูฐทะลุเส้นทางสายไหมเลยหรือ)
ตอนแรกเราวางแผนจะนอนค้างกระโจม 1 คืน
แต่คุยไปคุยมาสรุปว่าขอเป็นทัวร์ครึ่งวันพอ
เพราะจะได้เอาเวลาวันอื่นไปเที่ยวในเมือง
และเพื่อถนอมร่างกายเอาไว้เที่ยวเมืองอื่นต่อ
สำหรับการนอนกระโจมถ้ามีวาสนาได้กลับมาคราวหน้าค่อยว่ากัน
รถพาเราออกนอกเมืองไปทางปากีสถานมากขึ้นทุกที
ระหว่างทางเราเห็นทหารถือปืนประปราย สองข้างทางนั้นมีแต่ความเวิ้งว้าง
มีพื้นทรายที่แทรกด้วยต้นไม้แห้งๆ เพียงไม่กี่ต้น
ให้ความรู้สึกเหมือนพวกเรากำลังอยู่ในหนังเรื่อง Mad Max
ต่างกันที่ไม่ต้องรอให้มีคนมาไล่ยิงเหมือนในหนัง
แค่เพียงรถเสียหรือยางแตกกลางทางพวกเราก็คงตายกันหมดแล้ว
เพราะสองข้างทางแทบไม่พบเจอสิ่งมีชีวิตอยู่รถพาเรามาส่งยังที่หมาย ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ทะเลทรายเสียทีเดียว
แต่เป็น Sam Sand Dunes
หรือเนินทรายขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านนอกของทะเลทรายอีกที
แต่เราก็ยังสัมผัสได้ถึงความใหญ่โตอลังการของเนินทรายที่ทอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา
เราเดินไปที่จุดนำเที่ยว
คนขับรถแท็กซี่ของโรงแรมและเจ้าของทัวร์ได้เชิญชวนให้เรานั่งรถจี๊บซิ่งข้ามทะเลทรายเพื่อเข้าไปยังจุดขี่อูฐโดยต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม
เราเลยทักท้วงว่า อ้าวเฮ้ย
ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หน่าเพราะว่าตอนจ่ายเงินค่าทัวร์ที่โรงแรมพนักงานเขาบอกว่ารวมทุกอย่างเสร็จสรรพแล้วไม่ต้องจ่ายเพิ่ม
แต่สุดท้ายเราก็ตกลงกันว่ายอมจ่ายก็ได้
เพราะที่นี่มันจัยซัลเมอร์นะเว้ยไม่ใช่สมุทรปราการ จะได้มีโอกาสมาได้บ่อยๆ
รถได้พาเราทั้งสามคนยืนอยู่หลังกระบะรถโดยไม่มีการใส่เครื่องป้องกันใดๆ
ซิ่งกระโดดข้ามเนินทรายอย่างรวดเร็วจนเราโคตรเสียวว่าสุดท้ายถ้าไม่ลงเอยที่รถคว่ำก็เป็นพวกเรากระเด็นตกรถ
แต่พอมองไปที่สีหน้าท่าทางของพี่คนขับ
พวกเราก็รู้สึกอุ่นใจว่าคงปลอดภัยเพราะพี่แกดูชิลมาก
มีท่าทีไม่ต่างจากการขับรถออกไปหน้าปากซอยสักพักพี่เขาก็พาเรามาส่งที่จุดปล่อยอูฐโดยสวัสดิภาพ
รอบตัวเรามีอูฐยืนอยู่เรียงราย
รวมถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวซึ่งแน่นอนว่าเป็นทัวร์จีน (หนีพวกเขาไม่พ้นจริงๆ)
นอกจากนั้นยังมีร้านค้าที่เอาโค้ก น้ำ และเบียร์แช่น้ำแข็งเย็นๆ
วางขายกันกลางทะเลทรายเลย (เห็นแล้วยอมใจในระบบทุนนิยม)?เอาให้เต็มที่เว้ย นี่อาจเป็นครั้งเดียวในชีวิตของเราที่จะได้ขี่อูฐนะ? เพื่อนของผมบอกก่อนขึ้นอูฐซึ่งมีคนเลี้ยงอูฐคอยจูงให้
การขี่อูฐนั้นให้ความรู้สึกแปลกประหลาดดี
เพราะมันไม่เหมือนกับการขี่ม้าที่เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
แต่อูฐมันเป็นสัตว์ที่เคลื่อนไหวช้า
และมีการส่ายตัวขึ้นลงซ้ายขวาตลอดเวลาทำให้ตอนขี่รู้สึกเกร็งและเมื่อยมาก
(ยิ่งอูฐที่เราขี่เป็นพันธุ์โหนกเดียวก็ยิ่งทำให้เมื่อยเป็นพิเศษ)
ตอนขี่แรกๆ ก็รู้สึกสนุกดีอยู่หรอก แต่พอนั่งไปได้สัก 5
นาทีก็เริ่มเบื่อคิดว่าเมื่อไรจะหมดรอบสักที
จะมีตื่นเต้นเป็นพิเศษก็เวลาขึ้นลงจากตัวอูฐ
เพราะมันจะขยับตัวขึ้นลงอย่างรวดเร็วจนให้ความรู้สึกวูบไม่ต่างจากเครื่องเล่นสวนสนุก
จากตอนแรกที่เราหวั่นๆ ว่าขนาดในเมืองยังร้อนทะลุปรอทขนาดนี้
กลางทะเลทรายจะร้อนฉิบหายวายป่วงขนาดไหน
แต่เอาเข้าจริงแล้วในทะเลทรายนั้นไม่ร้อนและเต็มไปด้วยฝุ่นอย่างที่คิด
(หรือเราจะโชคดีที่มาตอนอากาศเย็นพอดี)ขี่อูฐเสร็จแล้ว พี่คนขับรถจี๊บก็พาเรากลับไปยังแท็กซี่โรงแรมที่ถนนใหญ่
พี่คนขับถามเราว่ามาจากไหน พอเราตอบว่าเมืองไทย พี่แกก็บอกว่า โอ้
ไอเลิฟเมืองไทย เคยไปเที่ยวพัทยามา
ชอบมาก (เป็นคำตอบที่เราได้รับกลับมาประมาณ 50%
เวลาบอกกับพ่อค้าหรือแท็กซี่อินเดียว่ามาจากเมืองไทย)
เดี๋ยวไอขับรถแถมให้พวกยูคนไทยสัก 4 ? 5 เนิน
แม้เราจะบอกว่าไม่เอาแล้วแต่พี่เขาคงไม่ใส่ใจ
เราก็เลยได้กระเด้งกระดอนที่หลังรถกันอีกหลายรอบพอถึงที่หมาย
เราเอ่ยปากขอบคุณพี่รถจี๊บพร้อมให้ทิปไปหลายรูปีแล้วเดินขึ้นรถแท็กซี่ของโรงแรม
กะว่าจะกลับเข้าเมืองไปกินข้าวและนั่งจิบเบียร์บนดาดฟ้าโรงแรมให้สะใจ
แต่แท็กซี่โรงแรมกลับพาเราไปตรงข้ามกับทางกลับเข้าเมือง?พี่จะพาเราไปไหนครับ? เราถามออกไป แต่คนขับน่าจะฟังภาษาอังกฤษไม่ออก ก็เลยยิ้มให้เราแทนคำตอบ
คนขับรถพาเรามายังจุดขี่อูฐอีกจุดหนึ่ง ระหว่างที่เรากำลังงงๆ
เขาก็ชี้บอกเราว่าให้ขึ้นอูฐได้ พอเราถามเจ้าของอูฐ
เขาก็บอกว่ายูจ่ายเงินที่โรงแรมแล้ว ไม่ต้องจ่ายเพิ่มอีก เอาเว้ย
ขึ้นก็ขึ้นวะพวกเราพากันวิเคราะห์ในขณะที่นั่งอยู่บนหลังอูฐว่า
ที่จริงแล้วทัวร์ที่เราซื้อจากโรงแรมนั้นคือการขี่อูฐครั้งที่สองตอนนี้นี่แหละ
แต่การขี่อูฐครั้งแรกคือ
คนขับแท็กซี่มั่วนิ่มพาไปเองเพื่อเอาค่าคอมมิสชั่น สรุปคือกูโดนหลอกจ้า
(ถือเป็นการโดนหลอกครั้งที่ 3317 ของเราในอินเดีย)
ทำให้เราได้ขี่อูฐสองรอบติดกันภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงโดยไม่ได้ร้องขอ
แต่เราก็ไม่ได้โวยวายอะไรเพราะเบ็ดเสร็จทั้งหมด เราเสียเงินไปแค่คนละ 1000
กว่าบาท ซึ่งถือว่าถูกเมื่อเทียบกับประสบการณ์ที่ได้รับอูฐพาเรามาถึงเนินทรายขนาดใหญ่ตอนที่พระอาทิตย์กำลังจะตกพอดี
ภาพดวงอาทิตย์ตกโคตรสวยงามจนเกิดเป็นความรู้สึกฟินถึงขีดสุดจนสามารถกลับเมืองไทยพรุ่งนี้เลยก็ได้
ลุงที่จูงอูฐถามเราด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงอินเดียว่า Are you happy?
เรายิ้มให้แทนคำตอบเรานั่งรถออกจากทะเลทรายด้วยความหวังว่าในอนาคตจะมีโอกาสกลับมาที่นี่ใหม่ บวกกับความหวังที่ว่าจะไปถึงร้านอาหารในเมืองไวๆ เพราะหิวจนจะเป็นลมแล้ว (โว้ย!)
หมายเหตุ
1.วิธีการไปจัยซัลแมร์จากประเทศไทยที่ง่ายที่สุดคือ
นั่งเครื่องบินไปลงที่นิวเดลี
จากนั้นนั่งรถไฟหรือรถบัสสายตรงไปที่เมืองจัยซัลแมร์
หรือสามารถนั่งจากเมืองต่างๆ ในแคว้นราชาสถานไปก็ได้
(นักท่องเที่ยวนิยมไปที่เมืองใหญ่เช่น ไจปูร์, จ๊อดปูร์ก่อนแล้วค่อย
ไปจัยซัลแมร์ต่อ)2.ช่วงเวลาที่แนะนำสำหรับการไปจัยซัลแมร์หรือเมืองอื่นๆ ในแคว้นราชาสถานคือ พฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ เพราะอากาศกำลังสบาย ไม่ร้อนมาก
3.เนื่องจากทะเลทรายถือเป็นจุดขายของเมือง ทำให้มีการขายแพคเกจ Desert
Safari ในเมืองมากมาย ตั้งแต่โรงแรมยันบริษัททัวร์
ควรศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจ ไม่ใช่ปุบปับเอาเลย (สรุปคืออย่าทำแบบผู้เขียน)สนับสนุนเนื้อหา GQ