ขี่อูฐในทะเลทราย First Time อินเดีย

อ่าน 1,387

เรื่อง/ภาพ: บดินทร์ เทพรัตน์

หลังจากที่ผมเคยผ่านประสบการณ์เที่ยวเมืองปีนัง, เสียมเรียบ,

เวียงจันทน์, สิงคโปร์ ในช่วงหน้าร้อน

ซึ่งแดดแผดเผาในระดับที่ถ้าไฟจะไหม้ลุกท่วมตัวก็ไม่แปลกใจ

ทำให้ผมตั้งปณิธานว่าจะไม่เที่ยวเมืองร้อนๆ ในช่วงหน้าร้อนอีกแล้ว

(โว้ย!!!)

ตัดภาพมาหน้าร้อนปีนี้ สถานที่ที่ข้าพเจ้าได้ไปเที่ยวก็คือ ทะเลทราย (ร้องไห้แป๊บ..)

จุดหมายปลายทางของผมคือ การได้มาขี่อูฐที่ทะเลทรายธาร์ เมืองจัยซัลแมร์ (Jaisalmer) แคว้นราชาสถาน ประเทศอินเดีย ซึ่งผมอยากมาตั้งแต่ตอนที่ได้อ่านหนังสือ ?ดื่มทะเลสาบ อาบทะเลทราย? ของบินหลา สันกาลาคีรีซึ่งเขียนถึงเมืองนี้

ส่วนเหตุผลที่เลือกมาช่วงหน้าร้อนก็คือค่าตั๋วเครื่องบินและโรงแรมถูกมากด้วยความเป็นช่วงโลว์ซีซั่นแบบสุดขีด

(Lonely planet

เขียนไว้ว่าการเที่ยวจัยซาลแมร์ในช่วงหน้าร้อนถือเป็นการกระทำที่ crazy)

อีกทั้งมิตรสหาย 2

คนของผมที่กำลังแบกเป้เที่ยวอินเดียหลายเดือนก็มีโปรแกรมที่จะมาเมืองดังกล่าวช่วงนั้นพอดี

พอมีคนเที่ยวด้วยก็เลยต้องรีบคว้าโอกาสไว้

เพราะรู้ดีว่าอินเดียเป็นประเทศที่ชวนเพื่อนแบกเป้เที่ยวด้วยยากขนาดไหน

จะเที่ยวคนเดียวก็จะรู้สึกว่าเลเวลตัวเองยังไม่แข็งแกร่งพอ

จัยซัลแมร์มีความน่าสนใจตรงไหน? ที่เห็นได้ชัดมีอยู่สามข้อ คือ

1.อาคารบ้านเรือนส่วนใหญ่ในเมืองถูกสร้างขึ้นด้วยหินทรายสีเหลืองทอง ทำให้เวลามองจากระยะไกลเราจะเห็นทั้งเมืองเป็นสีทองอร่ามจนได้รับฉายาว่า Golden City

2.ป้อมปราการยักษ์สีทองอายุ 900 ปีอย่าง Jaisalmer Fort

ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ความคัลท์คือในป้อมมีชาวบ้านอาศัยอยู่มากมาย

(ต่างจากป้อมอื่นๆ

ในอินเดียที่ถือเป็นโบราณสถานและมีการสงวนพื้นที่ไม่ให้ประชาชนขึ้นมาอยู่อาศัย)

เรียกได้ว่าตากผ้าขายของกันแบบไม่แคร์ความเป็นมรดกโลกกันเลย

3.ทะเลทรายขนาดใหญ่

สำหรับผู้ที่ฝันอยากขี่อูฐหรือนอนในกระโจมแต่ไม่มีเงินถุงเงินถังไปที่อัฟริกาหรืออาหรับ

ที่นี่ก็ถือเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ

แต่การเดินทางมาเมืองนี้ก็ใช่ว่าจะสบาย

เนื่องจากมันอยู่ติดชายขอทางซ้ายของอินเดีย ห่างจากปากีสถานไม่ถึง 100

กิโลเมตร และไม่ใช่เมืองทางผ่าน คนที่มาต้องตั้งใจมาจริงๆ

สำหรับการเดินทางมีทั้งรถไฟและรถบัส

ส่วนเครื่องบินนั้นถึงในเมืองจะมีสนามบินแต่ก็ปิดใช้งาน

เนื่องจากความขัดแย้งเรื่องชายแดนระหว่างอินเดีย ? ปากีสถานที่ยังไม่จบสิ้น

เราเลือกที่จะไปจัยซัลแมร์จากเมืองจ๊อดปูร์ (Jodhpur

หรือคนไทยชอบเรียกกันว่าโยธปุระ) ด้วยรถไฟรอบตี 5

เพื่อจะไปถึงที่หมายก่อนเที่ยง จะได้มีเวลาเที่ยวทะเลทรายตลอดช่วงบ่าย

แผนการอันเฟอร์เฟ็คต์ของเรามีช่องโหว่อย่างหนึ่งคือ

มันเป็นเวลาที่เช้าเกินกว่าจะตื่นไหว

ยิ่งคืนก่อนหน้านั้นเราซัดเบียร์ร่วมกับเพื่อนใหม่ชาวญี่ปุ่นจนเมามาย

ทำให้พอถึงเวลาที่ควรจะตื่นเราก็เลยกดปิดนาฬิกาปลุกในมือถือของเราอย่างไม่ใยดี

(พร้อมเสียงด่าขึ้นมาลอยๆ

ของมิตรสหายว่าใครแมร่งเป็นต้นคิดในการซื้อตั๋วรอบตีห้าวะ)

เราจึงต้องเปลี่ยนแผนมานั่งรถบัสท้องถิ่นช่วงสายๆ แทน

ซึ่งทำให้เราได้พบกับประสบการณ์การผจญภัยแบบเต็มอิ่ม

เพราะรถบัสนั้นสภาพเก่า ไม่มีแอร์ เบาะเล็กแคบ

ทุกที่นั่งอัดแน่นไปด้วยคนท้องถิ่นและข้าวของพะรุงพะรัง จอดแวะบ่อย

แถมสภาพอากาศภายนอกก็เป็นทะเลทรายที่ร้อนสุดขีดและเต็มไปด้วยฝุ่น

ผลคือ ตอนที่รถพาเราไปถึงที่หมายตอน 3 โมง

พวกเราหิวและเหนื่อยจนอยากเข้าไปนอนในห้องแอร์แบบกูไม่สนใจอะไรแล้ว

แต่พอเช็คอินปุ๊บพนักงานก็ถามเราว่า สนใจไปทะเลทรายไหม ยังทัน

?ต้องขึ้นรถไปตอนไหนครับ? พวกเราถาม

?ตอนนี้เลย เก็บกระเป๋าในห้องแล้วขึ้นรถทันที? พนักงานตอบ

จริงอยู่ที่ว่าการขี่อูฐทะเลทรายคือจุดหมายที่เราต้องการ

แต่การที่อยู่ดีๆ ก็ต้องนั่งรถไปในทันทีโดยไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจ

และไม่ทันได้อาบน้ำกินข้าวเลยนั้น ก็ดูเป็นการกระทำที่ระห่ำไปหน่อย

ใครมันจะบ้าไปวะ

ตัดภาพเป็นอีก 5 นาทีต่อมา

เราก็ได้นั่งอยู่บนรถที่ซิ่งไปทะเลทรายอย่างรวดเร็วเพื่อให้เรากลับเข้าเมืองทันก่อนมืด

(ความบ้านี่มันไม่เข้าใครออกใครจริงๆ)

ทัวร์ทะเลทรายหรือ Desert Safari Tour มีแพ็กเกจให้เลือกมากมาย

ตั้งแต่ครึ่งวันไปจนถึง 3 วัน (พี่กะจะขี่อูฐทะลุเส้นทางสายไหมเลยหรือ)

ตอนแรกเราวางแผนจะนอนค้างกระโจม 1 คืน

แต่คุยไปคุยมาสรุปว่าขอเป็นทัวร์ครึ่งวันพอ

เพราะจะได้เอาเวลาวันอื่นไปเที่ยวในเมือง

และเพื่อถนอมร่างกายเอาไว้เที่ยวเมืองอื่นต่อ

สำหรับการนอนกระโจมถ้ามีวาสนาได้กลับมาคราวหน้าค่อยว่ากัน

รถพาเราออกนอกเมืองไปทางปากีสถานมากขึ้นทุกที

ระหว่างทางเราเห็นทหารถือปืนประปราย สองข้างทางนั้นมีแต่ความเวิ้งว้าง

มีพื้นทรายที่แทรกด้วยต้นไม้แห้งๆ เพียงไม่กี่ต้น

ให้ความรู้สึกเหมือนพวกเรากำลังอยู่ในหนังเรื่อง Mad Max

ต่างกันที่ไม่ต้องรอให้มีคนมาไล่ยิงเหมือนในหนัง

แค่เพียงรถเสียหรือยางแตกกลางทางพวกเราก็คงตายกันหมดแล้ว

เพราะสองข้างทางแทบไม่พบเจอสิ่งมีชีวิตอยู่

รถพาเรามาส่งยังที่หมาย ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ทะเลทรายเสียทีเดียว

แต่เป็น Sam Sand Dunes

หรือเนินทรายขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านนอกของทะเลทรายอีกที

แต่เราก็ยังสัมผัสได้ถึงความใหญ่โตอลังการของเนินทรายที่ทอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา

เราเดินไปที่จุดนำเที่ยว

คนขับรถแท็กซี่ของโรงแรมและเจ้าของทัวร์ได้เชิญชวนให้เรานั่งรถจี๊บซิ่งข้ามทะเลทรายเพื่อเข้าไปยังจุดขี่อูฐโดยต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม

เราเลยทักท้วงว่า อ้าวเฮ้ย

ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หน่าเพราะว่าตอนจ่ายเงินค่าทัวร์ที่โรงแรมพนักงานเขาบอกว่ารวมทุกอย่างเสร็จสรรพแล้วไม่ต้องจ่ายเพิ่ม

แต่สุดท้ายเราก็ตกลงกันว่ายอมจ่ายก็ได้

เพราะที่นี่มันจัยซัลเมอร์นะเว้ยไม่ใช่สมุทรปราการ จะได้มีโอกาสมาได้บ่อยๆ

รถได้พาเราทั้งสามคนยืนอยู่หลังกระบะรถโดยไม่มีการใส่เครื่องป้องกันใดๆ

ซิ่งกระโดดข้ามเนินทรายอย่างรวดเร็วจนเราโคตรเสียวว่าสุดท้ายถ้าไม่ลงเอยที่รถคว่ำก็เป็นพวกเรากระเด็นตกรถ

แต่พอมองไปที่สีหน้าท่าทางของพี่คนขับ

พวกเราก็รู้สึกอุ่นใจว่าคงปลอดภัยเพราะพี่แกดูชิลมาก

มีท่าทีไม่ต่างจากการขับรถออกไปหน้าปากซอย

สักพักพี่เขาก็พาเรามาส่งที่จุดปล่อยอูฐโดยสวัสดิภาพ

รอบตัวเรามีอูฐยืนอยู่เรียงราย

รวมถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวซึ่งแน่นอนว่าเป็นทัวร์จีน (หนีพวกเขาไม่พ้นจริงๆ)

นอกจากนั้นยังมีร้านค้าที่เอาโค้ก น้ำ และเบียร์แช่น้ำแข็งเย็นๆ

วางขายกันกลางทะเลทรายเลย (เห็นแล้วยอมใจในระบบทุนนิยม)

?เอาให้เต็มที่เว้ย นี่อาจเป็นครั้งเดียวในชีวิตของเราที่จะได้ขี่อูฐนะ? เพื่อนของผมบอกก่อนขึ้นอูฐซึ่งมีคนเลี้ยงอูฐคอยจูงให้

การขี่อูฐนั้นให้ความรู้สึกแปลกประหลาดดี

เพราะมันไม่เหมือนกับการขี่ม้าที่เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

แต่อูฐมันเป็นสัตว์ที่เคลื่อนไหวช้า

และมีการส่ายตัวขึ้นลงซ้ายขวาตลอดเวลาทำให้ตอนขี่รู้สึกเกร็งและเมื่อยมาก

(ยิ่งอูฐที่เราขี่เป็นพันธุ์โหนกเดียวก็ยิ่งทำให้เมื่อยเป็นพิเศษ)

ตอนขี่แรกๆ ก็รู้สึกสนุกดีอยู่หรอก แต่พอนั่งไปได้สัก 5

นาทีก็เริ่มเบื่อคิดว่าเมื่อไรจะหมดรอบสักที

จะมีตื่นเต้นเป็นพิเศษก็เวลาขึ้นลงจากตัวอูฐ

เพราะมันจะขยับตัวขึ้นลงอย่างรวดเร็วจนให้ความรู้สึกวูบไม่ต่างจากเครื่องเล่นสวนสนุก

จากตอนแรกที่เราหวั่นๆ ว่าขนาดในเมืองยังร้อนทะลุปรอทขนาดนี้

กลางทะเลทรายจะร้อนฉิบหายวายป่วงขนาดไหน

แต่เอาเข้าจริงแล้วในทะเลทรายนั้นไม่ร้อนและเต็มไปด้วยฝุ่นอย่างที่คิด

(หรือเราจะโชคดีที่มาตอนอากาศเย็นพอดี)

ขี่อูฐเสร็จแล้ว พี่คนขับรถจี๊บก็พาเรากลับไปยังแท็กซี่โรงแรมที่ถนนใหญ่

พี่คนขับถามเราว่ามาจากไหน พอเราตอบว่าเมืองไทย พี่แกก็บอกว่า โอ้

ไอเลิฟเมืองไทย เคยไปเที่ยวพัทยามา

ชอบมาก (เป็นคำตอบที่เราได้รับกลับมาประมาณ 50%

เวลาบอกกับพ่อค้าหรือแท็กซี่อินเดียว่ามาจากเมืองไทย)

เดี๋ยวไอขับรถแถมให้พวกยูคนไทยสัก 4 ? 5 เนิน

แม้เราจะบอกว่าไม่เอาแล้วแต่พี่เขาคงไม่ใส่ใจ

เราก็เลยได้กระเด้งกระดอนที่หลังรถกันอีกหลายรอบ

พอถึงที่หมาย

เราเอ่ยปากขอบคุณพี่รถจี๊บพร้อมให้ทิปไปหลายรูปีแล้วเดินขึ้นรถแท็กซี่ของโรงแรม

กะว่าจะกลับเข้าเมืองไปกินข้าวและนั่งจิบเบียร์บนดาดฟ้าโรงแรมให้สะใจ

แต่แท็กซี่โรงแรมกลับพาเราไปตรงข้ามกับทางกลับเข้าเมือง

?พี่จะพาเราไปไหนครับ? เราถามออกไป แต่คนขับน่าจะฟังภาษาอังกฤษไม่ออก ก็เลยยิ้มให้เราแทนคำตอบ

คนขับรถพาเรามายังจุดขี่อูฐอีกจุดหนึ่ง ระหว่างที่เรากำลังงงๆ

เขาก็ชี้บอกเราว่าให้ขึ้นอูฐได้ พอเราถามเจ้าของอูฐ

เขาก็บอกว่ายูจ่ายเงินที่โรงแรมแล้ว ไม่ต้องจ่ายเพิ่มอีก เอาเว้ย

ขึ้นก็ขึ้นวะ

พวกเราพากันวิเคราะห์ในขณะที่นั่งอยู่บนหลังอูฐว่า

ที่จริงแล้วทัวร์ที่เราซื้อจากโรงแรมนั้นคือการขี่อูฐครั้งที่สองตอนนี้นี่แหละ

แต่การขี่อูฐครั้งแรกคือ

คนขับแท็กซี่มั่วนิ่มพาไปเองเพื่อเอาค่าคอมมิสชั่น สรุปคือกูโดนหลอกจ้า

(ถือเป็นการโดนหลอกครั้งที่ 3317 ของเราในอินเดีย)

ทำให้เราได้ขี่อูฐสองรอบติดกันภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงโดยไม่ได้ร้องขอ

แต่เราก็ไม่ได้โวยวายอะไรเพราะเบ็ดเสร็จทั้งหมด เราเสียเงินไปแค่คนละ 1000

กว่าบาท ซึ่งถือว่าถูกเมื่อเทียบกับประสบการณ์ที่ได้รับ

อูฐพาเรามาถึงเนินทรายขนาดใหญ่ตอนที่พระอาทิตย์กำลังจะตกพอดี

ภาพดวงอาทิตย์ตกโคตรสวยงามจนเกิดเป็นความรู้สึกฟินถึงขีดสุดจนสามารถกลับเมืองไทยพรุ่งนี้เลยก็ได้

ลุงที่จูงอูฐถามเราด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงอินเดียว่า Are you happy?

เรายิ้มให้แทนคำตอบ

เรานั่งรถออกจากทะเลทรายด้วยความหวังว่าในอนาคตจะมีโอกาสกลับมาที่นี่ใหม่ บวกกับความหวังที่ว่าจะไปถึงร้านอาหารในเมืองไวๆ เพราะหิวจนจะเป็นลมแล้ว (โว้ย!)

หมายเหตุ

1.วิธีการไปจัยซัลแมร์จากประเทศไทยที่ง่ายที่สุดคือ

นั่งเครื่องบินไปลงที่นิวเดลี

จากนั้นนั่งรถไฟหรือรถบัสสายตรงไปที่เมืองจัยซัลแมร์

หรือสามารถนั่งจากเมืองต่างๆ ในแคว้นราชาสถานไปก็ได้

(นักท่องเที่ยวนิยมไปที่เมืองใหญ่เช่น ไจปูร์, จ๊อดปูร์ก่อนแล้วค่อย

ไปจัยซัลแมร์ต่อ)

2.ช่วงเวลาที่แนะนำสำหรับการไปจัยซัลแมร์หรือเมืองอื่นๆ ในแคว้นราชาสถานคือ พฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ เพราะอากาศกำลังสบาย ไม่ร้อนมาก

3.เนื่องจากทะเลทรายถือเป็นจุดขายของเมือง ทำให้มีการขายแพคเกจ Desert

Safari ในเมืองมากมาย ตั้งแต่โรงแรมยันบริษัททัวร์

ควรศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจ ไม่ใช่ปุบปับเอาเลย (สรุปคืออย่าทำแบบผู้เขียน)

สนับสนุนเนื้อหา GQ



บทความแนะนำ


เรื่องราวชีวิตท้อแท้ล้มเหลวนักร้องชายหมดใจไม่ใช่ความผิดนักร้องลูกทุ่งแมวจิรศักดิ์ทรงผมทรงผมสั้นทรงผมประบ่าทรงผมถักเปียดูดวงดวงความรัก