แนะการดูดวง อย่าหลงเชื่อจนงมงาย

เมื่อเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือสถานการณ์ร้อนแรงทางการเมือง ผู้คนมักจะพูดถึงคำทำนายดวงเมืองอย่างกว้างขวาง หรือแม้แต่กิจกรรมที่สำคัญต่อชีวิตของคนไทยก็ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับ โหราศาสตร์เกือบทั้งสิ้น เช่น การหาฤกษ์แต่งงาน การกำหนดวันเปิดกิจการใหม่ หรือการตัดสินใจปัญหาสำคัญ สะท้อนให้เห็นว่าการทำนายทายทักเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยไปแล้ว

ข้อมูลนี้สอดคล้องกับผลการทำวิจัยของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ซึ่งทำวิจัยเรื่อง"การศึกษาปัญหาสุขภาพจิตของผู้มารับบริการจากหมอดู : ศึกษาเฉพาะกรณีผู้มารับบริการจากหมอดูของสมาคมโหราศาสตร์แห่งประเทศไทย"

พบว่า คนไปหาหมอดูเพราะอยากรู้อนาคตมากที่สุด คาดหวังว่าเมื่อมาหาหมอดูแล้วทำให้สบายใจมากขึ้น

จากข้อมูลผู้มาใช้บริการหมอดูจำนวน 150 คน พบว่าเหตุผลที่คนมาดูดวงเป็นเพราะอยากทราบอนาคตร้อยละ 40.6 และอยากทราบว่าหมอดูแม่นหรือไม่ร้อยละ 27.3 ทำให้เห็นได้ว่าคนส่วนใหญ่อยากรู้ว่าอนาคตนั้นเป็นอย่างไร นอกจากนี้ยังวัดระดับความเชื่อคำทำนาย ซึ่งมีถึงร้อยละ 77.3 ที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ที่ไม่เชื่อมีร้อยละ 13.3 และที่เชื่อร้อยละ 9.3 ทำให้เห็นว่า คำทำนายของหมอดูมีผลกระทบกับคนถึงร้อยละ 86.6 คือรวมที่เชื่อกับไม่แน่ใจ เพราะคนที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งนั้นย่อมฟังหมอดูบ้างไม่มากก็น้อย

น.พ.ชาตรี บานชื่น อธิบดีกรมสุข ภาพจิต ให้ข้อคิดว่า ความเชื่ออยู่คู่กับสังคมไทยมานาน คนเราสนใจในเรื่องการทำนายทายทัก เพราะมีความสุขน้อยลง ขาดที่พึ่งทางใจ จึงจำเป็นต้องหาที่ยึดเหนี่ยว ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่อยากให้มองว่าความเชื่อมีทั้งข้อดีและข้อเสีย

ถ้ามองในภาพรวมของสังคมอาจมองได้ว่า การทำนายทายทักในทางลบแล้วบอกให้เข้าวัด ทำบุญ ฟังธรรม หรือสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นับเป็นโอกาสดีที่จะทำให้ศาสนาเข้ามาอยู่ในจิตใจคนในสังคมมากยิ่งขึ้น

ส่วนในระดับบุคคลมองได้ว่าการทายทักในทางลบเป็นการช่วยเตือนให้เราต้องระมัดระวังการใช้ชีวิต ให้รอบคอบมากยิ่งขึ้น เหนือสิ่งอื่นใดต้องไม่เชื่อมาก จนทำให้ความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมเปลี่ยนไปจากเดิม กลายเป็นความหวาดกลัว ตื่นตระหนก ไม่กล้าทำอะไร ทำให้เสียหน้าที่การงาน จนเปิดโอกาสหรือเปิดช่องทางให้ผู้ประสงค์ร้ายเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากเรา ทำให้ตนเองและครอบครัวต้องเดือดร้อน ซึ่งจะยิ่งทำให้ความทุกข์เข้ามาแทนที่อย่างไม่สิ้นสุด