คำกล่าว หมอบรัดเล สยามไม่มีวันเจริญ หากยังไม่ห้ามการมีเมียมาก
"จากรายพระนามข้างบนนี้ เราจะสังเกตได้เองว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีโอรสจากพระราชมารดา ๒๗ พระนาง?พระราชมารดาเหล่านี้ทรงได้รับเงินเลี้ยงชีพจากรัฐบาลด้วยกันทุกองค์?ส่วนพระเจ้าอยู่หัวองค์ที่สอง (พระปิ่นเกล้าฯ) ทรงมีโอรสจากพระราชมารดา ๒๕ พระนาง?ส่วนบรรดาขุนนางผู้ใหญ่ต่างก็มีภรรยา ๓๐ นางบ้าง ๔๐ นางบ้าง บางทีก็ถึง ๕๐ นาง เราขออ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้าให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแก้ไขเรื่องการมีภรรยามาก (โดยทรงมีพระชายาแต่พระองค์เดียวเพื่อเป้นแบบฉบับ) แลด้วยการออกกฎหมายห้ามการมีภรรยามากโดยทั่วถึงกัน คุณธรรมความดีและความเจริญรุ่งเรืองของกรุงสยามจะแพร่ขยายออกไปไม่ได้ จนกว่าการมีภรรยามากจะถือว่าเป็นความผิดทางอาญา"Bangkok Calendar ปีต่อมา (2406) ยังให้ข้อมูลเรื่องนี้เพิ่มเติมอีกว่า "พระเจ้าอยู่หัวองค์ที่สองขณะนี้ทรงมีพระชายาอยู่ประมาณหนึ่งร้อยยี่สิบพระนางและมีพระโอรสธิดาสามสิบพระองค์?ขณะนี้ทรงมีพระชนมายุห้าสิบห้าพระชันษา"Bangkok Calendar ปี 2416 คือปีที่หมอเสียชีวิต ได้บรรยายชีวิตในวังหลวงว่าพระโอรสของพระเจ้าแผ่นดินจะประทับอยู่กับพระมารดาในวังหลวงจนเจริญพระชันษา จึงจะย้ายออกไปประทับในวังส่วนพระองค์ซึ่งพระบิดาหรือรัฐบาลจัดหาให้ ท้องพระคลังมหาสมบัติเป็นผู้ออกเงินค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้พระโอรสเหล่านี้ พระมารดาจะเสด็จไปประทับอยู่ด้วยจนกว่าจะสามารถช่วยตัวเองได้ ทรงเติบใหญ่แล้ว พระมารดาจึงจะเสด็จกลับไปประทับในวังหลวงกับพระธิดา และจะมาเยี่ยมพระโอรสสุดแต่โอกาสอันควร"ส่วนพระธิดาของพระเจ้าแผ่นดินจะอยู่ในวังหลวงกับพระราชบิดา ทรงฐานันดรศักดิ์เช่นนั้นตลอดกาล นอกจากจะทรงมีโอกาสพานพบเจ้าชายที่ทรงฐานันดรเท่าเทียมกัน และได้อภิเากสมรส แต่การณ์เช่นนี้ย่อมเป็นไปได้ยาก ดังนั้นพระราชธิดาจึงมักจะยอมรับสภาวะการอยู่ในพรหมจรรย์ตลอดชีวิต โอนี่ช่างเป็นการฝืนกฎธรรมชาติ และกฎของพระเจ้าอะไรอย่างนั้น เมื่อพระราชบิดาสวรรคต ทรงมอบราชสมบัติให้แก่รัชทายาท และมอบสิทธิอำนาจในการปกครองวังหลวงพร้อมกันไปด้วย เจ้าหญิงเหล่านี้ก็จะได้รับการอุปถัมภ์อย่างระแวดระวังเช่นนี้แล้วพระมารดาก็จะสามารถออกจากวังหลวงไปประทับอยู่กับพระโอรสได้ เจ้าหญิงที่พระชนมายุเกิน ๕๐ ปีขึ้นไปจะสามารถเสด็จออกไปประทับนอกวังหลวงได้ตามพระประสงค์?"อ้างในหนังสือ หมอบรัดเลกับการหนังสือพิมพ์แห่งกรุงสยาม โดย สุกัญญา ตรีระวนิช, สำนักพิมพ์มติชน, พ.ศ. 2528 หน้า 43-46