ตำนานลอยกระทง 6 ความเชื่อลอยกระทงวันเพ็ญเดือนสิบสอง
ตำนานลอยกระทง
6 ความเชื่อลอยกระทงวันเพ็ญเดือนสิบสอง ทั้งตำนานเรื่องกาเผือก
เพื่อบูชารอยพระพุทธบาท การต้อนรับพระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากเทวโลก
การบูชาพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ การบูชาพระอุปคุต และเพื่อบูชาพระจุฬามณี
อีกไม่กี่วันก็ใกล้จะถึงวันสำคัญอีกวันหนึ่งของคนไทย ซึ่งก็คือ
วันลอยกระทง นั่นเอง
สำหรับวันลอยกระทงนั้นเป็นวันที่คนไทยจะร่วมกันลอยกระทงเพื่อขอขมาแก่พระแม่คงคา
ที่มนุษย์ได้ใช้น้ำในการดื่มกิน รวมไปถึงการทิ้งสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ
ลงในแม่น้ำ วันลอยกระทงของทุกปีจะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12
ตามปฏิทินจันทรคติไทย สำหรับปี 2559 วันลอยกระทงตรงกับวันจันทร์ที่ 14
พฤศจิกายน
การลอยกระทงในเมืองไทยนั้น มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย
ในสมัยก่อนนั้นพิธีลอยกระทงจะเป็นการลอยโคม ต่อมานางนพมาศ
หรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์
สนมเอกของพระร่วงได้คิดค้นประดิษฐ์กระทงดอกบัวขึ้นเป็นคนแรกแทนการลอยโคม
เมื่อสมเด็จพระร่วงเจ้าได้เสด็จฯ ทางชลมารค
ทอดพระเนตรกระทงของนางนพมาศก็ทรงพอพระราชหฤทัย
จึงโปรดให้ถือเป็นเยี่ยงอย่าง และให้จัดประเพณีลอยกระทงขึ้นเป็นประจำทุกปี
โดยให้ใช้กระทงดอกบัวแทนโคมลอย
หลังจากนั้นจึงมีการสืบต่อประเพณีการลอยกระทงจนมาถึงปัจจุบัน
วันนี้เราก็ขอหยิบยกนำเรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับเรื่องเล่าตำนานวันลอยกระทง
มาฝากกันด้วยค่ะ
ถ้าอยากรู้ว่าในแต่ละตำนานเล่าถึงวันลอยกระทงกันว่าอย่างไร ตามไปดูกันเลย
ภาพจาก GOLFX / Shutterstock.com
1. ตำนานลอยกระทงจากนิทานชาวบ้าน เรื่องกาเผือก
เมื่อครั้งดึกดำบรรพ์มีกาเผือกสองตัวผัวเมียทำรังอยู่บนต้นไม้ในป่าหิมพานต์ใกล้ฝั่งแม่น้ำ
วันหนึ่งกาตัวผู้ออกไปหากินแล้วหลงทางกลับรังไม่ได้
ปล่อยให้นางกาตัวเมียซึ่งกกไข่อยู่ 5 ฟอง รอด้วยความกระวนกระวายใจ จู่ ๆ
มีพายุใหญ่พัดมาโดนรังกระจัดกระจายจนไข่ทั้ง 5 ฟองตกลงน้ำ
ด้านแม่กาถูกลมพัดไปอีกทางหนึ่ง แต่เมื่อย้อนกลับมาไม่เห็นฟองไข่
จึงร้องไห้จนขาดใจตายไปเกิดเป็นท้าวพกาพรหมอยู่ในพรหมโลก ส่วนฟองไข่ทั้ง 5
นั้น ลอยน้ำไปคนละทิศคนละทาง
ต่อมาแม่ไก่ แม่นาค แม่เต่า
แม่โค และแม่ราชสีห์ ได้มาพบเข้า จึงนำไปรักษาไว้ตัวละ 1 ฟอง
ครั้งถึงกำหนดฟักกลับกลายเป็นมนุษย์ทั้งหมด ไม่มีฟองไหนเกิดมาเป็นลูกกาเลย
โดยกุมารทั้ง 5 มีนามว่า กกุสันโธ (วงศ์ไก่), โกนาคมโน (วงศ์นาค), กัสสโป
(วงศ์เต่า), โคตโม (วงศ์โค) และเมตเตยยะ (วงศ์ราชสีห์) ต่อมากุมารทั้ง 5
ต่างเห็นโทษภัยในการเป็นฆราวาสและเห็นอานิสงส์ในการบรรพชา
จึงขอลาไปบวชเป็นฤาษี และทั้ง 5 คน
ได้มีโอกาสพบปะกันและถามถึงนามวงศ์และมารดาของกันและกันจึงทราบว่าเป็นพี่น้องกัน
จากนั้นทั้งหมดได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า
ถ้าต่อไปจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าขอให้ร้อนไปถึงมารดา
และด้วยแรงอธิษฐานของทั้ง 5
ท้าวพกาพรหมจึงเสด็จมาจากเทวโลกจำแลงองค์เป็นกาเผือก
แล้วเล่าเรื่องราวให้ฟังพร้อมบอกว่าถ้าคิดถึงมารดาเมื่อถึงเพ็ญเดือน 11
เดือน 12 ให้เอาด้ายดิบผูกไม้ตีนกาปักธูปเทียนบูชาลอยกระทงในแม่น้ำ
เพื่อแสดงความคิดถึง
ตั้งแต่นั้นมาจึงมีการลอยกระทงเพื่อบูชาท้าวพกาพรหมและเพื่อบูชารอยพระบาท
ซึ่งประดิษฐานอยู่ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที ส่วนฤาษีทั้ง 5
ต่อมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ดังนี้
- ฤาษีองค์แรก กกุสันโธ (พระกกุสันโธ)
- ฤาษีองค์ที่สอง โกนาคมโน (พระโกนาคมน์)
- ฤาษีองค์ที่สาม กัสสโป (พระกัสสปะ)
- ฤาษีองค์ที่สี่ โคตโม (พระสมณโคดม)
- ฤาษีองค์ที่ห้า เมตเตยยะ (พระศรีอาริยเมตไตรย)
ตามตำนานดังกล่าว
ได้มีพระพุทธเจ้า 3 พระองค์แรก มาบังเกิดบนโลกมนุษย์แล้วในอดีตกาล
พระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
พระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 คือ พระพุทธเจ้าที่จะมาบังเกิดบนโลกในอนาคต ได้แก่
พระศรีอาริยเมตไตรย
2. ตำนานลอยกระทงเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท
รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า ที่ไปปรากฏอยู่ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที
มีความเป็นมาเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติ คือ
ครั้งหนึ่งพญานาคได้ทูลอาราธนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ให้เสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคพิภพ เมื่อพระองค์เตรียมเสด็จกลับ
พญานาคจึงได้ทูลขออนุสาวรีย์ไว้สำหรับกราบไหว้บูชา
พระพุทธองค์จึงทรงประดิษฐานรอยพระพุทธบาทไว้ที่หาดทราย
ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที
เพื่อให้บรรดานาคทั้งหลายได้ลอยกระทงเพื่อสักการบูชา
ภาพจาก 501room / Shutterstock.com
3. ตำนานลอยกระทงเพื่อต้อนรับพระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากเทวโลก
เป็นตำนานที่เล่ากันว่า เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ
ได้เสด็จออกบวชจนได้บรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วได้เสด็จไปจำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
เพื่อทรงเทศนาธรรมโปรดพระพุทธมารดา
จากนั้นพระองค์ได้เสด็จกลับลงสู่โลกมนุษย์
ในการเสด็จลงสู่โลกมนุษย์ครั้งนี้ เหล่าทวยเทพและประชาชนทั้งหลาย
ได้พร้อมใจกันทำการสักการบูชาด้วยทิพย์บุปผามาลัย การลอยกระทงตามตำนานนี้
จึงเป็นการรับเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากดาวดึงส์พิภพ
4. ตำนานลอยกระทงเพื่อบูชาพระนารายณ์บรรทมสินธุ์
พิธีการลอยกระทงตามคติพราหมณ์ ซึ่งกระทำเพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้า คือ
พระนารายณ์ที่บรรทมสินธุ์อยู่ในมหาสมุทร นิยมทำพิธีการลอยกระทงกันในวันขึ้น
15 ค่ำ เดือน 11 หรือ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เป็น 2 ระยะ
ซึ่งจะทำในกำหนดใดก็ได้
5. ตำนานลอยกระทงเพื่อบูชาพระอุปคุต
พระเจ้าอโศกมหาราชทรงมีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนา
ได้โปรดให้สร้างพระสถูปเจดีย์และพุทธวิหารขึ้นทั่วชมพูทวีป
มหาวิหารที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ อโศการาม ซึ่งตั้งอยู่ในเขตแคว้นมคธ
หลังจากที่สร้างพระสถูปเจดีย์ถึง 84,000 องค์สำเร็จแล้ว
พระเจ้าอโศกทรงมีพระราชประสงค์จะนำพระบรมสารีริกธาตุของสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไปบรรจุในในพระสถูปต่าง ๆ และบรรจุในพระมหาสถูปองค์ใหญ่
ประดิษฐานอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคาให้ปาฏลีบุตร
และยังต้องการให้มีการเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่เป็นเวลา 7 ปี 7 เดือน 7 วัน
แต่ด้วยเกรงว่าพญามารจะมาทำลายพิธีฉลอง
มีเพียงพระอุปคุตที่ไปจำศีลอยู่ในสะดือทะเลเพียงท่านเดียวเท่านั้น
ที่จะสามารถปราบพญามารได้
เมื่อพระอุปคุตปราบพญามารจนสำนึกตัวหันมายึดเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งแล้ว
พระอุปคุตต์จึงลงไปจำศีลอยู่ในสะดือทะเลตามเดิม
จากนั้นจึงมีการลอยกระทงเพื่อบูชาพระอุปคุตต์ สำหรับพระอุปคุต
คนไทยจะเรียกได้อีกชื่อว่า พระบัวเข็ม
6. ตำนานลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณี
ตำนานนี้เล่ากันว่า เมื่อครั้งที่เจ้าชายสิทธัตถะ
เสด็จออกจากพระนครกบิลพัสดุ์ ในเวลากลางดึกด้วยม้ากัณฐกะ พร้อมนายฉันทะ
มหาดเล็กผู้ตามเสด็จ ครั้นรุ่งอรุณก็ถึงฝั่งแม่น้ำอโนมานที
เจ้าชายทรงขี่ม้ากัณฐกะ กระโจนข้ามแม่น้ำไป
เมื่อทรงทราบว่าพ้นเขตกรุงกบิลพัสดุ์แล้ว
เจ้าชายสิทธัตถะจึงเสด็จลงประทับเหนือหาดทรายขาวสะอาด
ตรัสให้นายฉันทะนำเครื่องประดับและม้ากัณฐกะกลับพระนคร
และทรงตั้งพระทัยปรารภจะบรรพชา โดยเปล่งวาจา "สาธุ โข ปพฺพชฺชา"
แล้วจึงทรงจับพระเมาลีด้วยพระหัตถ์ซ้าย พระหัตถ์ขวาทรงพระขรรค์ตัดพระเมาลี
แล้วโยนขึ้นไปบนอากาศ พระอินทร์ได้นำผอบทองมารองรับพระเมาลีไว้
และนำไปบรรจุยังพระจุฬามณีเจดีย์สถานในเทวโลก
ทำให้การลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณี
จึงถือเป็นการไหว้บูชาพระศรีอริยเมตไตรยด้วย
และนี่คือ 6 ตำนานความเชื่อลอยกระทงวันเพ็ญเดือนสิบสองที่ถูกเล่าสืบต่อกันมา