เวลาใดบ้าง?! ที่ไม่สมควรจะไปวัด
มีอีกข้อหนึ่งที่ศาสนิกชนเช่นเรา ๆ ควรทราบว่ามีบางวันเวลาที่ไม่สมควรจะไปวัดซึ่งในที่นี้หมายถึงช่วงเวลา ?กลางวันบางช่วง?
เท่านั้น
เนื่องจากพระภิกษุในวัดท่านจะมีกิจที่ต้องทำซึ่งเป็นกิจของสงฆ์โดยเฉพาะ
ถ้าเราไปวัดในวันและเวลาดังกล่าวแล้วก็จะไม่มีโอกาสไปทำบุญหรือพูดคุยได้สะดวกและอาจเป็นการรบกวนท่านอีกด้วย
ไปวัดในวันโกน
วันโกนคือ วันที่พระท่านต้องทำกิจคือ โกนผม โกนหนวด ตัดเล็บ
ปฏิบัติตามกฎของท่านที่จะไว้ผมยาวได้ไม่เกิน 2 เดือน หรือ 2 นิ้ว
ไม่ไว้หนวดเครา ไม่ไว้เล็บยาว ไม่ให้ขนจมูกยาวเป็นต้น
ซึ่งวันโกนนับง่ายๆว่า เป็นวัน ?ก่อนหน้าวันพระ 1 วัน? คือวันขึ้น 7
ค่ำกับวันแรม 7 ค่ำ และ วันขึ้น 14 ค่ำ กับแรม 14 ค่ำ หรือไม่ก็ตรงกับ แรม
13 ค่ำถ้าเป็นเดือนขาด ซึ่งช่วงเวลากลางวันของวันนี้ยังไม่ควรไปรบกวนท่านไปวัดในวันสวดปาติโมกข์
กิจของพระอีกอย่างหนึ่งคือทุกครึ่งเดือน (วันที่ 15 หรือวันที่ 30,31)
พระท่านจะต้องลงโบสถ์ฟังสวดปาติโมกข์ซึ่งเป็นการฟังการสาธยายทบทวนศีล 227
ข้อที่พระพุทธองค์ทรงประทานไว้ให้ในวันมาฆบูชานั่นเอง ช่วงเวลากลางวันในวันนี้ก็ไม่สมควรจะไปวัด เพราะท่านต้องทำกิจสำคัญอันเป็นการรบกวนท่านช่วงเวลากวาดและทำความสะอาดวัด
ช่วงเวลาบ่ายแก่ ๆประมาณ 4-5
โมงเย็นของในแต่ละวัดจะมีกิจที่พระสงฆ์ต้องร่วมกันทำ
ซึ่งปกติท่านก็สามารถทำได้ทั้งวันอยู่แล้ว
ซึ่งแต่ละวัดอาจไม่เหมือนกันแต่จะมีช่วงเวลาที่ พระภิกษุ สามเณร
ไม่เว้นแม้แต่เจ้าอาวาส
ท่านจะออกมาร่วมกันกวาดและทำความสะอาดวัดพร้อมกันทั้งหมด
นอกจากเป็นการทำความสะอาดให้วัดน่าดูแล้ว
ยังเป็นการฝึกฝนขัดเกลาจิตใจของพระท่านอีกทางหนึ่ง
ผู้ที่จะไปวัดนั้นควรสอบถามหรือศึกษารายละเอียดข้อปฏิบัติของวัดนั้น
ๆจากพระในวัดให้ดีก่อน
ช่วงเวลาที่พระท่านกำลังปฏิบัติธรรม
การไปรบกวนพระสงฆ์ที่ท่านกำลังปฏิบัติธรรมอยู่ก็กลายเป็นบาปได้เช่นกันไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
ซึ่งเป็นกันมากในหมู่คนที่ไปทำบุญที่วัดและสำนักปฏิบัติธรรม
โดยคิดแต่ประโยชน์ความสะดวกส่วนตนโดยไม่นึกถึงพระ ทั้ง
ๆที่พระท่านกำลังปฏิบัติธรรมอยู่
เรื่องนี้มีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงผลเสียอย่างชัดเจน จากคำบอกเล่าของ
หลวงปู่ ดุลย์ อตุโล พระอริยเจ้าสำคัญอีกรูปหนึ่งของเมืองไทย
ท่านได้เมตตาบอกกล่าวเอาไว้ว่า.....
ครั้งหนึ่งมีลูกศิษย์หลวงปู่ผู้สนใจธรรมปฏิบัติกำลังนั่งภาวนาเงียบอยู่
ไม่ห่างจากท่านเท่าใดนัก บังเอิญมีแขกมาหาลูกศิษย์ผู้นั้นแต่ไม่เห็น
ก็มีศิษย์อีกท่านหนึ่งเดินเรียกชื่อท่านผู้กำลังนั่งภาวนาอยู่ด้วยเสียงอันดัง
และเมื่อเดินมาเห็นศิษย์ผู้นั้นกำลังภาวนาอยู่
ก็ยังไปจับแขนดึงท่านขึ้นมาทั้งที่ท่านกำลังนั่งภาวนา
เมื่อผู้นั้นห่างไปแล้ว หลวงพ่อปู่ดุลย์ ท่านจึงเปรยขึ้นมาว่า"ในพุทธกาลครั้งก่อน
มีพระอรหันต์องค์หนึ่งกำลังเข้านิโรธสมาบัติ ได้มีนกแสกตัวหนึ่งบินโฉบผ่านหน้าท่านพร้อมกับร้อง "แซก" ท่านว่านกแสกตัวนั้นเมื่อตายแล้วได้ไปอยู่ในนรก แม้กัปนี้พระพุทธเจ้าผ่านไปได้พระองค์ที่สี่แล้ว
ซึ่งก็หมายความว่า
การที่คนเรานั้นไปขัดขวางการปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์นั้นไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตามจะเป็นบาปอย่างมหันต์โดยที่หลายคนอาจจะไม่รู้ตัว
การไปขัดขวางการปฏิบัติธรรมหรืออะไรก็ตาม จริงๆ
แล้วต้องดูที่เจตนาเป็นหลัก ดูที่กฎแห่งกรรม
ถ้าเป็นกรรมที่ไม่ได้มีเจตนาหรือขาดเจตนาก็อาจจะกลายเป็นอโหสิกรรมได้ดังนั้นควรระมัดระวังตนให้ดีและ รู้จักสำรวมทั้งกาย วาจา ใจ
วัดนั้นเป็นสถานที่ที่เราสามารถไปได้บ่อย ๆ ก็จริงแต่อย่างไรก็ตาม วัด
ถือเป็นสถานที่ประกอบบุญอันมีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัวของสถานที่อยู่แล้วรวมถึงพระในวัดด้วย
เราต้องรู้จักกาลเทศะ คือ
รู้ทั้งเวลาและโอกาสอันเหมาะสมจึงจะได้บุญอย่างที่ปรารถนา