เจ้ากรรมนายเวรคือใคร ? ค้นหาคำตอบจากเรื่องราวเมื่อครั้งสมัยพุทธกาล
เจ้ากรรมนายเวรคือใคร
ท่าน ว.วชิรเมธี มีคำตอบ กับคำถามที่ว่า เจ้ากรรมนายเวรคือใคร
เรื่องนี้ขอตอบด้วยเรื่องราวที่ปรากฏในคัมภีร์ก็แล้วกัน
ในครั้งพุทธกาลนี่เอง
มีภิกษุกลุ่มหนึ่งออกพรรษาแล้วต้องการจะเฝ้าพระพุทธเจ้า
จึงออกเดินทางจากวัดรอนแรมมาหลายวันหลายคืน
มีอยู่วันหนึ่งภิกษุกลุ่มนั้นแวะพักที่ถ้ำแห่งหนึ่งในยามพลบค่ำ
ครั้นเข้าไปพักในถ้ำแล้ว จู่ๆ กลางดึกคืนนั้นเอง
หินใหญ่ก้อนหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ๆ
ปากถ้ำก็เคลื่อนตัวเข้ามาปิดปากถ้ำโดยอัตโนมัติภิกษุกลุ่มนั้นตกใจเป็นอย่างยิ่ง
พยายามรวมกำลังกันเขยื้อนหินอย่างไร หินใหญ่ก้อนนั้นก็นิ่ง ไม่ไหวติง
ชาวบ้านที่ตามมาส่งเห็นเหตุการณ์
ก็พากันเรียกร้องให้ประชาชนมาช่วยกันย้ายหินก้อนนั้น
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถผลักหินนั้นให้เคลื่อนออกไปได้
คนในและคนนอกพยายามผลักหินใหญ่ให้พ้นปากถ้ำอยู่หลายวัน
ในที่สุดก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอ่อนแรง ยอมแพ้ไปตามๆ กัน
ภิกษุหลายรูปที่อยู่ข้างในต่างอดข้าว อดน้ำ หมดอาลัยตายอยากในชีวิต นั่ง
นอน รอความตายไปวันๆ แต่ในระหว่างที่ทุกคนสิ้นหวังแล้วนั่นเอง
พอครบวันที่เจ็ด จู่ๆ หินใหญ่ก้อนนั้นก็เคลื่อนออกไปเองอย่างปาฏิหาริย์
ภิกษุทุกรูปเห็นเช่นนั้นต่างดีใจสุดชีวิต คลานออกจากถ้ำในสภาพสุดอิดโรย
ชาวบ้านที่อยู่ภายนอกจึงช่วยกันจัดข้าวจัดน้ำมาถวาย
ทำให้รอดตายอย่างเฉียดฉิว
เหตุการณ์คราวนั้นเป็นที่โจษขานกันระเบ็งเซ็งแซ่ว่าเป็นไปได้อย่างไร???
ความจริงไม่เพียงแต่ชาวบ้านเท่านั้นที่ตั้งคำถามว่า
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็น ?อุบัติเหตุ หรือว่ามี ?มือที่มองไม่เห็น
คอยบัญชาการอยู่เบื้องหลัง
พระภิกษุทุกรูปต่างก็มีคำถามติดค้างอยู่ในใจเช่นเดียวกัน
เมื่อฉันข้าวปลาอาหารมีกำลังแล้ว
ภิกษุกลุ่มนั้นจึงเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้าถึงพุทธสำนักเพื่อจะได้คลายข้อสงสัย
หนึ่งในภิกษุกลุ่มนั้นกราบทูลเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ทรงทราบ
พระพุทธองค์สดับแล้วทรงแย้มสรวลน้อยๆ ด้วยพระเมตตา
เพราะทรงทราบเป็นอย่างดีว่าเหตุการณ์ครั้งนี้มีที่มาที่ไปที่สามารถอธิบายได้
สำหรับพระพุทธองค์ผู้ทรงเป็นบรมครูของชาวโลกแล้ว
โลกนี้ไม่มีคำว่าปาฏิหาริย์
ทุกปรากฏการณ์ในโลกและชีวิตล้วนมีที่มาเสมอสิ่งที่เราเห็นว่าเป็นปาฏิหาริย์นั่นเป็นเพราะว่า
เรายังมองไม่เห็นเหตุปัจจัยที่แฝงตัวอยู่เบื้องหลังของเหตุการณ์เหล่านั้นเท่านั้นเอง
หากเรามีทิพยจักษุเหมือนพระพุทธองค์ ทุกๆ
ครั้งที่เกิดอะไรขึ้นมาในชีวิตเราจะไม่ตื่นตกใจ ทว่าเราจะมีแต่เพียงความ
?เข้าใจ ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นอย่างนั้นเอง
ใดๆ ในโลกล้วนมีที่มาที่ไปของมันอย่างสมเหตุสมผลเสมอ
ทรงคลายข้อสงสัยของภิกษุเหล่านั้นว่า
ในอดีตชาติพวกเธอเคยเป็นเด็กเลี้ยงวัวมาก่อน
วันหนึ่งจูงวัวไปกินหญ้าที่ท้ายหมู่บ้านเกิดพบตัวเงินตัวทองกำลังวิ่งเข้าไปในรูที่จอมปลวกใหญ่ข้างทาง
พวกเธอนึกสนุกจึงแกล้งตัวเงินตัวทองด้วยการช่วยกันเอาก้อนหิน
ก้อนดินปิดปากรู คุยกันเล่นๆ ว่า
ขากลับในตอนเย็นค่อยมาเปิดปากรูแต่แล้วพอพลบค่ำพวกเด็กๆ
ทั้งเจ็ดคนกลับลืมเสียสนิทว่าเคยแกล้งตัวเงินตัวทองให้ติดอยู่ในจอมปลวก
เจ้าตัวเงินตัวทองเคราะห์ร้ายตัวนั้นไม่ได้ถูกลืมเพียงวันเดียว
ทว่าถูกลืมยาวนานถึงเจ็ดวันเลยทีเดียว
พอครบเจ็ดวัน
เด็กๆ กลุ่มนั้นจูงวัวผ่านจอมปลวกอีกครั้งหนึ่ง
คราวนี้เกิดนึกขึ้นมาได้ว่าเคยแกล้งขังตัวเงินตัวทองไว้ในนั้น
จึงช่วยกันหยิบก้อนดินก้อนหินที่ปิดปากรูออก พอได้รับอิสรภาพเท่านั้นเอง
ตัวเงินตัวทองสุดเคราะห์ร้ายก็คลานกระย่องกระแย่งออกมาจากรูในสภาพอิดโรยเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก
หากช้ากว่านี้ไปเพียงวันเดียวมันก็คงตายอยู่ในจอมปลวกอย่างน่าสมเพช
ด้วยเศษกรรมตรงนี้เอง เมื่อเวียนว่ายตายเกิดมาพอสมควรแล้ว
อดีตเด็กเหล่านั้นได้มาเกิดเป็นภิกษุกลุ่มนี้
และถูกกฎแห่งกรรมที่มีตัวเงินตัวทองเป็น ?เจ้ากรรมนายเวร
ร่วมสร้างเหตุปัจจัยให้ถูกขังลืมอยู่ในถ้ำยาวนานถึงเจ็ดวัน
ภิกษุกลุ่มนั้นฟังพุทธาธิบายแล้วต่างรู้สึกผิดและเสียใจโดยถ้วนหน้า
พวกเธอรำพึงกันว่า ขึ้นว่าบาปกรรม
แม้เพียงนิดหน่อยก็ยังมีผลพลอยได้ให้ชีวิตต้องมาตกระกำลำบากถึงเพียงนี้
จากเรื่องที่เล่ามาเป็นอันตอบได้ว่า เจ้ากรรมนายเวรก็คือ
ใครก็ตามที่เราเคยทำให้เขาเดือดร้อนและเขาคงผูกอาฆาตพยาบาทเอาไว้ว่า
จะหมายมั่นปั้นมือล้างแค้นให้ได้ ถ้าสบโอกาสเมื่อไรก็จะทำทันที พลังของ "จิตพยาบาท นั่นเองที่ทำให้กลายเป็นกฎแห่งกรรม
คอยตามเล่นงานกันไปหลายภพหลายชาติ
ขอบคุณเนื้อหาจาก:www.goodlifeupdate.com