เปิดตำนานพิธีกรรม "ทำมัมมี่" ของชนเผ่าลึกลับ ที่ยังคงสืบต่อความ "หลอน" มาถึงปัจจุบัน !!

อ่าน 12,338

ท่ามกลางป่าลึกในหมู่เกาะแห่งหนึ่งยังคงมีการสืบทอดขั้นตอนการทำ "มัมมี่" เพื่อรักษาร่างกายของผู้ตายไว้ให้คงอยู่ตราบนานเท่านาน อีกทั้งยังเป็นการแสดงความเคารพและการรักษาศพของ ชนเผ่า Anga (อันกา) ในประเทศปาปัวนิวกินี กับการเปิดเผยเรื่องราวสู่โลกภายนอกเป็นครั้งแรก!!

หมู่เกาะนับร้อยของประเทศปาปัวนิวกินีเป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าต่างๆมากมาย ที่ใช้ชีวิตโดยไม่พึ่งพาความเจริญต่างๆและยังคงรูปแบบพิธีกรรมพร้อมทั้งการดำเนินชีวิตในแบบของตนมาอย่างยาวนานหลายชั่วอายุ รวมไปถึงชนเผ่า Anga (อันกา) กลุ่มคนผู้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในผืนป่ากว้าง

ในปี 2003 ช่างภาพสาวและนักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมชาวเยอรมนี Ulla Lohmann (อุลล่า ลอห์แมนน์) เผยเรื่องราวของเธอหลังจากความพยายามในการผูกมิตรกับชาวอันกาไม่เป็นผล เธอถูกขับไล่อย่างไม่ใยดีและไม่ยอมให้เธอถ่ายภาพแม้แต่รูปเดียว พร้อมเหตุผลว่า "ไม่อยากให้โลกภายนอกเข้ามารบกวน และไม่อยากให้เรื่องราวภายในเผยสู่โลกภายนอก" ทว่าจากการเดินทางที่ยากลำบากและเดินเท้ากว่า 3 ชั่วโมง เธอพยายามต่อไปอย่างไม่ลดละ จนนำไปสู่การพยายามเข้ามาเพื่อ "เรียนรู้" และ "สร้างความเชื่อใจ" หลายต่อหลายครั้ง

จนในที่สุดเธอก็สามารถผูกมิตรกับชาวอันกา และกลายเป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกัน ทำให้เธอกลายเป็นคนจากโลกภายนอกคนแรกที่สามารถเข้าไปบันทึกภาพภายในหมู่บ้าน รวมไปถึงการบันทึก "ภาพของพิธีกรรมการทำมัมมี่อันศักดิ์สิทธิ์" ซึ่งวิธีของชาวอันกานั้นต่างจากมัมมี่อียิปต์โดยสิ้นเชิง เพราะชาวอียิปต์นั้นจะผ่าศพแล้วคว้านเอาอวัยวะภายในออก จากนั้นจึงปรุงแต่งตามกรรมวิธีพิเศษ ทว่าที่นี่ ศพของผู้เสียชีวิตอันเป็นที่รักจะถูกนำมามัดไว้กับโครงไม้ไผ่ในลักษณะเหมือนนั่งเก้าอี้ และใช้ความร้อนค่อยๆทำให้ศพเปลี่ยนสภาพไปอย่างช้าๆในเวลาประมาณ 3 เดือน

ภาพใบหน้าของ Gemtasu ชายผู้เสียชีวิตในปี 2009 และภาพของเขาหลังจากผ่านการทำให้กลายเป็นมัมมี่หลังจากเขาเสียชีวิตลงในปี 2015 พวกเขาเชื่อว่าส่วนที่สำคัญที่สุดคือการรักษาใบหน้าไว้ให้คงเดิม เพราะวิญญาณของคนตายจะออกจากร่างในเวลากลางวัน และกลับเข้าสู่ร่างเดิมในเวลากลางคืน หากไร้ซึ่งใบหน้า พวกเขาจะไม่สามารถกลับเข้าสู่ร่างของตัวเองได้

ในขณะที่ประกอบพิธี มัมมี่ของบรรพบุรุษหรือบิดามารดาจะถูกนำมาร่วมพิธีด้วย ซึ่งร่างนี้คือพ่อของ Gemtasu นั่นเอง ซึ่งเมื่อเสร็จพิธีกรรม ร่างของเขาจะถูกนำกลับไปยังสุสานบนภูเขาในป่าลึกเช่นเดิม

ชาวอันกานั้นประกอบไปด้วยประชากรกว่า 45,000 คน อาศัยอยู่ด้วยกันในป่าลึกอย่างสงบสุข

การเข้ามามีบทบาทของศาสนาคริสต์ทำให้เหล่าคนเฒ่าคนแก่ในเผ่าต่างกังวลว่าพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์นี้จะถูกลบเลือนหายไป พวกเขาจึงเริ่มตระหนักถึงการเปิดเผยข้อมูลพร้อมทั้งภาพเหตุการณ์เหล่านี้ออกสู่โลกภายนอก อีกทั้งยังพยายามศึกษาวิทยาการณ์สมัยใหม่เพื่อช่วยให้การทำมัมมี่นั้นง่ายขึ้น และปลอดภัยในกรณีที่เกิดโรคระบาด

Gemtasu เหมือนจะรู้เหตุการณ์การตายของตนเองล่วงหน้า เพราะเขาได้ถ่ายทอดวิชาพร้อมทั้งสอนคนหนุ่มในเผ่าโดยการใช้หมูแทนร่างของมนุษย์ พร้อมทั้งนักมานุษยวิทยาจากโลกภายนอกที่ร่วมศึกษาอยู่ด้วย เพื่อคงไว้ซึ่งเรื่องราวเล่าขานที่มีการสืบทอดอย่างจริงจัง แทนการปกปิดมันไว้เป็นความลับที่รอวันสาปสูญและลบเลือนไปจากประวัติศาสตร์ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตลงในปี 2015 อุลลา จึงเดินทางกลับมาเพื่อทำตามสัญญาที่จะถ่ายภาพพิธีกรรมการทำมัมมี่ของเขาด้วยตนเอง

ใบหน้าของเขาที่เปลี่ยนแปลงไป ยังสอนคนรุ่นหลังว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนั้นไม่แน่นอน มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และไม่จำเป็นต้องยึดมั่นถือมั่นมันไว้ คล้ายคลึงกับคำสอนในพุทธศาสนาเลยทีเดียว

แม้ว่าเวลาจะผ่านมาแล้วกว่า 3 เดือน แต่คนในครอบครัวบางคนยังคงไม่อาจทำใจกับการสูญเสียคนที่รักไปได้ หญิงสาวในครอบครัวยังคงแสดงความรักต่อเขาอย่างภักดี

ยามค่ำคืนครอบครัวของเขาล้อมวงเล่าเรื่องราวเล่าขานและมุกตลกของเขาให้กันและกันฟังอย่างสนุกสนาน พร้อมทั้งบอกต่อเรื่องเล่าและวีรกรรมต่างๆของเขาผ่านรุ่นสู่รุ่น

ช่างภาพสาว Ulla Lohmann ผู้ที่ได้รับความไว้วางใจจากทางเผ่าให้เข้าไปเก็บภาพพิธีกรรมในครั้งนี้พร้อมภาพของเธอและชายผู้วายชนม์ครั้งยังมีชีวิต พร้อมรอยยิ้มที่สดใสและเป็นมิตร เธอเดินทางกลับมาเพื่อรักษาสัญญาที่จะถ่ายภาพพิธีกรรมครั้งสุดท้ายในชีวิตของเขาด้วยตนเอง



บทความแนะนำ


การศึกษาที่กินหุ่นสวยหย่อนยานศัลยกรรมเอวเล็กร้านอาหารGrillYardบุฟเฟต์ซีฟู้ดเชฟรอนแจกทุนฝึกอบรมช่างเทคนิคปิโตรเลียมทรงผมทรงผมสั้นทรงผมประบ่าทรงผมถักเปียดูดวงดวงความรัก