ขอแชร์เคล็ดลับเสริมดวง?..ตั้งโต๊ะหมู่บูชาพระ เสริมบารมี และโชคลาภ
การจัดห้องพระอย่างเหมาะสม นอกจากจะทำให้ผู้อยู่อาศัยมีความสงบสุขแล้ว
การผสมผสานด้วยหลักของฮวงจุ้ย ยังสามารถส่งเสริมให้คนในบ้านมีบารมี
และได้รับโชคลาภอีกด้วย
การมีห้องพระภายในบ้าน
น่าจะเป็นสิ่งที่ชาวพุทธทุกคนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
ทว่าในปัจจุบันหลายคนมักละเลยกับการจัดห้องพระ เช่น ในบางบ้านนำห้องพระ
มาใช้เป็นห้องเก็บของ ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสมเท่าใดนัก
และการจัดห้องพระ ไม่ใช้แค่การตั้งที่บูชาพระเพียงอย่างเดียว
เจ้าของบ้านควรคำนึงถึงตำแหน่ง และขนาดของห้องพระ เพื่อให้สมาชิกภายในบ้าน
สามารถใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม ให้จิตใจผ่องใส และสงบนิ่งอย่างแท้จริงนอกจากการเลือกตำแหน่งของห้องพระภายในบ้านแล้ว
การจัดวางสิ่งของภายในห้องพระ ยังสามารถใช้หลักของฮวงจุ้ย
เพื่อเสริมให้บ้านที่อยู่อาศัย มีความสงบ ร่มเย็น รวมถึงเจ้าบ้านเอง
อาจได้รับโชคลาภ หรือเจอพบแต่สิ่งดี ๆ ได้เช่นกัน
และเพื่อให้ได้ห้องพระที่ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ย
ทางทีมงานเราจึงได้รวบรวมข้อมูลมาฝากค่ะการเลือกตำแหน่งห้องพระ
เริ่มแรกจะเป็นเรื่องการกำหนดตำแหน่งห้องพระ ว่าจะอยู่ส่วนไหนของบ้าน
ซึ่งการเลือกตำแหน่งห้องพระ จะมีเรื่องของความเชื่อเข้ามาเกี่ยวข้อง
ดังเช่น ตามหลักฮวงจุ้ยได้พิจารณาห้องพระในแง่ของพลังงานธรรมชาติว่า
การจุดธูปเทียนบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ทำให้ห้องพระเป็นห้องมีพลังธาตุไฟมากกว่าปกติ ดังนั้น
ในการกำหนดตำแหน่งของห้องพระจึงต้องพิจารณา ดังนี้1. ห้องพระควรเป็นห้องชั้นบนสุดของบ้าน เพราะพระเป็นของสูง
การวางต่ำกว่าคนในบ้าน หากมีการเดินข้าม นอนคร่อม หรือหันปลายเท้าเข้าหาพระ
ย่อมไม่เป็นมงคล ทั้งนี้การเลือกตั้งห้องพระไว้ชั้นล่าง
ก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่จะมีข้อจำกัด เช่น
ต้องพิจารณาว่าห้องที่อยู่ชั้นบนเหนือห้องพระ เป็นห้องน้ำ
และห้องนอนหรือไม่ ถ้าใช่ก็ไม่เหมาะสม ดังนั้นจึงควรจะเป็นห้องว่าง
ที่ไม่มีคนอยู่จะดีกว่า2. ห้องพระควรอยู่ในตำแหน่งที่มีการระบายอากาศได้ดี เพราะการบูชาพระ
จะต้องจุดธูป เทียน หากเป็นตำแหน่งที่อากาศถ่ายเทสะดวก
จะทำให้ไม่รบกวนสมาธิของผู้ปฎิบัติธรรม
อีกทั้งยังช่วยลดอันตรายจากควันไฟและเปลวเทียนไม่ให้ไหม้บ้านได้อีกด้วย3. ห้องพระต้องอยู่ในบริเวณที่สงบ เป็นมุมที่ไม่มีผู้คนพลุกพล่าน
และตามหลักฮวงจุ้ย ตำแหน่งหน้าบ้าน ถือเป็นตำแหน่งโชคลาภ
ส่วนตำแหน่งหลังบ้าน ถือเป็นตำแหน่งบารมี การจัดฮวงจุ้ยห้องพระจึงควรเลือก 2
ตำแหน่งดังกล่าว จะช่วยเสริมพลังบวกได้มากที่สุด4. ห้องพระควรหันทิศไปทางตะวันออก หรือทิศเหนือ ซึ่งเป็นทิศมงคล
หากไม่สามารถเลือกตำแหน่งห้องพระในทิศตะวันออก และทิศเหนือได้
ให้ตั้งหิ้งพระ และองค์พระหันหน้าไปทางทิศนั้น ๆ แทน5. ห้องพระที่ติดกับห้องนอน
ต้องระวังเรื่องการวางเตียงหันปลายเท้าไปหาห้องพระ
และกรณีที่หันหัวเตียงไปที่ห้องพระ ต้องพิจารณาว่า ตำแหน่งขององค์พระ
หรือโต๊ะหมู่บูชาติดกับหัวเตียงหรือไม่ เพราะถ้าติดกัน
เมื่อนอนบนเตียงอาจได้รับอิทธิพลของธาตุไฟ ทำให้ปวดหัวง่าย
หรือนอนไม่ค่อยหลับ6. ห้องพระไม่ควรติดกับห้องน้ำ เพราะในหลักฮวงจุ้ย
ห้องน้ำถือว่าเป็นธาตุน้ำ ส่วนห้องพระถือว่าเป็นธาตุไฟ ตามกฎเบญจธาตุ
(ธาตุทั้ง 5) ธาตุน้ำนั้นจะพิฆาตธาตุไฟ
ถ้ามีความจำเป็นจะต้องวางห้องพระติดกับห้องน้ำ ควรหาตู้มาพิงผนังห้องน้ำ
แล้วหันพระไปทางทิศอื่น ไม่เช่นนั้นความศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระจะเสื่อม
เพราะถูกพลังของธาตุน้ำบั่นทอน7. ในทางฮวงจุ้ยเชื่อว่าร้านค้าไม่ควรนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คนภายนอกเห็น
เพราะจะมีคนแกล้งนำของสกปรกมาทำลายสิ่งศักดิ์สิทธ์ แต่ในกรณีที่บ้านเล็ก
มีพื้นที่จำกัด สามารถเลือกจัดที่บูชาพระ ในจุดที่เหมาะสม
โดยใช้หลักเกณฑ์เดียวกับการเลือกตำแหน่งของห้องพระได้เช่นกันอย่างไรก็ตาม การจัดที่บูชาพระ ได้มีการเน้นย้ำในเรื่องตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม
1. ไม่ควรตั้งพระในห้องนอน โดยเฉพาะคนที่มีคู่แล้ว แต่หากจำเป็นควรใช้ฉากกั้นให้เป็นสัดส่วน
2. ไม่ควรตั้งหิ้งพระตรงบันได หรือใต้บันได
3. ไม่ควรตั้งหิ้งพระอยู่ใต้คาน
4. ไม่ควรตั้งห้องพระหรือหิ้งพระอยู่เหนือห้องน้ำ
5. ห้ามแขวนหิ้งพระกับผนังห้องน้ำ
การตั้งองค์พระตามหลักฮวงจุ้ย
เมื่อสามารถกำหนดตำแหน่งของห้องพระที่เหมาะสมได้แล้ว
การเลือกตำแหน่งตั้งพระพุทธรูปตามหลักฮวงจุ้ย
ก็ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน โดยทิศที่เหมาะสมในการตั้งพระพุทธรูป
ได้แก่ ทิศเหนือ และทิศตะวันออก ซึ่งจะช่วยเสริมดวงชะตา และนำโชคลาภ
มาสู่ผู้อยู่อาศัย โดยสามารถพิจารณาได้จากหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้1. ตั้งพระหันหน้าไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือ : ทิศนี้เป็นทิศเศรษฐี หากประกอบการงาน ทำมา ค้าขาย ใด ๆ ก็จะเจริญร่ำรวย ยิ่ง ๆ ขึ้น
2. ตั้งพระหันหน้าไปยังทิศตะวันออก : ทิศนี้เป็นทิศราชา จะประกอบการงานใด ๆ ก็จะเจริญ ใหญ่โต สมความตั้งใจทุกประการ
3. ตั้งพระหันหน้าไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้ : ทิศนี้เป็นทิศปฐม
นับว่าเป็นทิศที่ไม่เหมาะสมกับการตั้งพระ เนื่องจากทำอะไรจะไม่ค่อยเจริญ
ลาภผลตกต่ำ และแค่พอมีพอใช้4. ตั้งพระหันหน้าไปยังทิศใต้ : ทิศนี้เป็นทิศจัณฑาล
โดยทำงานอะไรก็จะติดขัด ยากลำบาก หากมีการลงทุน
ก็มักได้ผลประโยชน์ไม่ค่อยคุ้มค่า5. ตั้งพระให้หันไปสู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ : ทิศนี้เป็นทิศวิปะฏิสาร
งานการที่ทำจะมีแต่ความเดือดร้อนยุ่งยาก ซ้ำยังมีผลกระทบมาสู่ครอบครัว
รวมทั้งเพื่อนบ้าน6. ตั้งพระหันหน้าไปยังทิศตะวันตก : ทิศนี้เป็นทิศกาลกิณี
ไม่ว่าจะทำสิ่งใด ก็จะมีแต่ความเกิดลังเลใจ ไม่เป็นมงคล
อาจเกิดภัยอันตรายร้ายแรงกับคนภายในบ้าน
ซึ่งควรหลีกเลี่ยงทิศนี้อย่างเด็ดขาด7. ตั้งพระหันหน้าไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ : ทิศนี้เป็นทิศอุทธัจจะ จะทำงานสิ่งใด ผลงานก็ไม่แน่นอน จับจด รวนเร ไม่ได้ผล
8. ตั้งพระหันหน้าไปยังทิศเหนือ : ทิศนี้เป็นทิศมัชฌิมาปฏิปทา จะทำงานใด ๆ ผลงานจะอยู่ในเกณฑ์พอปานกลาง ไม่ดีไม่ร้าย
นอกจากนี้ คนที่เกิดในแต่ละปี ก็มีทิศต้องห้ามในการตั้งพระด้วย ดังนี้
1. เจ้าของบ้านเกิดปีชวด
ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศเหนือเด็ดขาด เพราะจะส่งผลให้เจ้าบ้าน
เกิดอันตรายอย่างใหญ่หลวง จนถึงขั้นเสียชีวิต2. เจ้าของบ้านเกิดปีฉลู
ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเด็ดขาด
เพราะจะส่งผลให้เจ้าบ้าน เกิดการเจ็บป่วยอย่างกะทันหัน3. เจ้าของบ้านเกิดปีขาล
ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเด็ดขาด
เพราะจะส่งผลให้ผู้หญิง และสมาชิกในครอบครัว เกิดอันตรายได้4. เจ้าของบ้านเกิดปีเถาะ ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาไปทางทิศตะวันออกเด็ดขาด เพราะจะส่งผลให้เกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง คนในบ้านจะเสียชีวิต
5. เจ้าของบ้านเกิดปีมะโรง ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเด็ดขาด เพราะจะส่งผลให้คนในบ้านเกิดการเสียหาย ทั้งชายและหญิง
6. เจ้าของบ้านเกิดปีมะเส็ง ห้ามตั้งหิ้งพระบูชา
หันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เด็ดขาด เพราะจะส่งผลให้คนในครอบครัว
มีความยุ่งยากที่สุด จนหาความสงบสุขไม่ได้7. เจ้าของบ้านเกิดปีมะเมีย ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศใต้ เพราะจะส่งผลให้เกิดเรื่องราวอัปมงคลขึ้นภายในบ้าน
8. เจ้าของบ้านเกิดปีมะแม
ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
เพราะจะส่งผลให้ครอบครัวเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นอย่างไม่คาดฝันได้9. เจ้าของบ้านเกิดปีวอก
ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
เพราะจะส่งผลให้เกิดเรื่องร้าย ๆ กับสมาชิกเพศชายในครอบครัว10. เจ้าของบ้านเกิดปีระกา ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันตก เพราะจะส่งผลให้ทุกข์โศกมาเยือนครอบครัวจนต้องร้องไห้อยู่เสมอ
11. เจ้าของบ้านเกิดปีจอ
ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเด็ดขาด
เพราะจะส่งผลร้ายให้สมาชิกในครอบครัวอย่างมากถึงขั้นเสียชีวิตได้12. เจ้าของบ้านเกิดปีกุน
ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
เพราะจะส่งผลให้เกิดเรื่องร้าย ๆ ในครอบครัวอยู่ตลอด
อาจต้องมีการเสียเงินเสียทอง หรือขึ้นโรงขึ้นศาลการจัดหิ้งบูชาตามหลักฮวงจุ้ย
ในการจัดหิ้งบูชาก็ต้องดูให้เหมาะสมกับดวงชะตาเช่นกัน
และจะต้องดูแลให้สะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย เพราะหากดูแลไม่ดีแล้ว
สิ่งที่เป็นสิริมงคลของบ้าน ก็อาจกลายเป็นสิ่งอัปมงคลได้เช่นกัน
โดยวิธีการจัดหิ้งบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีข้อแนะนำเพิ่มเติมดังนี้1. หิ้งบูชาต้องสะอาดอยู่เสมอ หากปล่อยให้หิ้งบูชาสกปรก
คนในบ้านจะเจ็บป่วย และทำมาค้าไม่ขึ้น ควรหมั่นเปลี่ยนน้ำเปล่า
และดอกไม้สดที่บูชาเป็นประจำ อย่าปล่อยให้ดอกไม้แห้งเฉาคาที่
เพราะจะทำให้คนในบ้านมีชีวิตที่ไม่ค่อยมั่นคงนัก2. หิ้งพระต้องไม่อยู่เหนือประตูซึ่งเป็นช่องทางเดินเข้า-ออก ถ้าจัดตั้งหิ้งพระในมุมที่พลุกพล่าน คนในบ้านจะมีแต่ความวุ่นวาย
3. หิ้งบูชาพระไม่ควรหันหน้าตรงกับประตูห้องน้ำ หรือห้องครัว มิเช่นนั้นคนในบ้านจะเจ็บป่วย มีแต่เรื่องขัดแย้ง เงินทองรั่วไหล
4. ถ้าพักอาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์หรือคอนโด
ควรตั้งหิ้งพระให้สูงกว่าระดับศีรษะ เพราะหากตั้งหิ้งพระต่ำกว่าศีรษะ
จะทำให้คนในบ้านไม่เจริญก้าวหน้า อาชีพการงานเติบโตช้า
และจะถูกลดตำแหน่งงานลง5. หากตั้งหิ้งบูชาขนาดใหญ่
จำนวนองค์พระหรือองค์เทพบนหิ้งควรมีจำนวนเป็นเลขคี่ เช่น 1,3,5,7,9 องค์
ทั้งหลักฮวงจุ้ย และความเชื่อของไทยก็ล้วนระบุว่าไม่นิยมให้เป็นจำนวนเลขคู่6. ไม่ตั้งหิ้งบูชาไว้ใต้คาน มิเช่นนั้นดวงชะตาคนในบ้านจะถูกกดทับ ทำให้เจริญรุ่งเรืองยาก และมักมีเรื่องให้ปวดหัวอยู่เสมอ
7. ไม่ควรมองเห็นหิ้งพระได้จากนอกบ้าน
เพราะจะถือว่าการตั้งหิ้งพระไม่อยู่ในมุมสงบ หรือเป็นสัดส่วน
แต่ถ้าเป็นร้านที่ประกอบธุรกิจค้าขายถือว่าไม่เป็นไรเป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับข้อมูลตามหลักของฮวงจุ้ย
ทั้งการกำหนดตำแหน่งห้องพระภายในบ้าน คำแนะนำในการวางพระ
รวมถึงการดูแลหิ้งพระด้วย แต่ทั้งนี้ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้าน
ก็ควรทำการสักการะบูชาพระอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ รวมถึงควรทำจิตใจให้สงบ
เพื่อให้ทุกคนภายในบ้าน สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นสุข จนเรียกได้ว่า
สุขทั้งกาย สุขทั้งใจ กันเลยยังไงล่ะคะที่มาของบทความ :http://home.kapook.com/view45578.html